“วัฒนา”ย้ำไม่หนีคดีบ้านเอื้ออาทรมั่นใจหลักฐาน
“วัฒนา”ลั่นไม่คิดหนีคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร-มั่นใจพยานหลักฐานเดิม ชี้เป็นโอกาสดีที่ได้เข้าเเถลงปิดคดี ชี้ การตัดสินต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน ลั่นเป็นจำเลยคนสุดท้ายที่ยืนหยัดต่อสู้
ที่ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เปิดเผยก่อนศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดแถลงปิดคดีชั้นอุทธรณ์ ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ กับนายวัฒนา เมืองสุขกับพวกรวม 14 คน จำเลย ถูกกล่าวหาทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร
นายวัฒนา เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการแถลงเปิดด้วยวาจาต่อองค์คณะ และ จะถมาพูดความจริงกับศาล เเละ มาบอกศาลว่า การจะลงโทษใครต้องมีพยานหลักฐาน โดยวันนี้ สาระสำคัญ 3 ประเด็น คือ 1 ข้อกล่าวหาเป็นเท็จ เเละ 2.เมื่อข้อกล่าวหาเป็นเท็จ พยานหลักที่นำมพาพิสูจน์ สิ่งที่มันเป็นเท็จ มันเกิดจากการปั้นเเต่ง มีหลักฐานเป็นหนังสือ นายเเก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. เป็นผู้เขียนหนังสือรับไว้เอง เเละ3ง ผลการที่ศาลเชื่อโจทก์ พยานเท็จคำพากษาจึงบิดเบือน เเละยังขัดกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบด้วย
“หลักฐานทียื่นก็เคยใช้ในชั้นศาลฎีกา เเต่ศาลไม่เคยดูพยานหลักฐานของจำเลย เหมือนศาลเชื่อพยานโจทก์ไว้เเล้ว วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะมีเวลาได้เเถลง เพราะในชั้นศาลฎีกาประเด็นเยอะมากและเพิ่งรู้ว่าอัยการฟ้องเกินกว่าทีก.ป.ช.สั่งให้ฟ้อง คดีในชั้นศาลฎีกา ปชช. ให้ห้องข้อหาเดียวแต่อัยการฟ้อง3ข้อหา แต่โชคดีที่ศาลไปยกฟ้อง จึงเหลือเพียงข้อหาเดียว ไม่เช่นนั้นต้องมาอุทธรณ์”
โดยสิ่งที่ ปปช.ตีตกไป เหลือเพียงคดีเรียกรับสินบนเพื่อเเลกกับการอนุมัตเงินก่อสร้าง ซึ่งมีข้อกฎหมายว่าเจ้าพนักงานมีอำนาจใช่หรือไม่ เป็นโอกาที่ดีที่ได้เข้าเเถลงปิดคดี ต้องขอบคุณองค์คณะที่ให้โอกาส เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเลยได้รับโอกาส สำหรับคดีนี้ไม่มีความถูกต้องตั้งแต่ต้น เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองล้วนๆ และในวันที่ 4 มี.ค.256 ยืนยันว่าจะมาถึงศาลเป็นคนแรกอย่างแน่นอน ไม่มหนีไปหน
เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่นายวัฒนา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่หนักใจแต่ขอโอกาสให้ตนได้สู้คดีอย่างเต็มที่ ก่อนหน้านี้ในศาลชั้นต้นก็ไม่ให้โอกาสตน เมื่อขอแถลงการณ์ ก็ให้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงและขณะแถลง ซึ่งยังแถลงไม่จบก็บอกให้พอแล้ว เหมือนกับไม่อยากฟังตนเลย ซึ่งวันนี้ตนเชื่อว่าองค์คณะจะให้เวลา จนครบถ้วน แล้วถ้าฟังความทั้งหมดก็จะรู้ว่าไม่เคยมีกระบวนการยุติธรรมที่ไหนที่สกปรกเช่นนี้
เมื่อถามว่าจนถึงวันนี้รู้สึกกับคดีเหมือนวันแรกหรือไม่ นายวัฒนา กล่าวว่า จนถึงวันนี้ตนก็ยังแสวงหาความยุติธรรม เพราะคดีนี้ไม่มีความถูกต้องอะไรเลย แม้กระทั่งกระบวนการสอบสวนพยานก็ยังมีการจูงใจ และข่มขู่ ซึ่งผิดกฎหมายทั้งหมด รวมทั้งตนมีหลักฐานยืนยันชัดเจนไม่ได้เป็นการพูดปากเปล่าอย่างแน่นอน แต่ที่แปลกใจคือกระบวนการยุติธรรมเพิกเฉยกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร และวันนี้ศาลก็ต้องวินิจฉัยว่าสิ่งที่กระทำมาทั้งหมดถูกหรือไม่ถูก ไม่ใช่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วมาพิพากษาลงโทษตน ซึ่งมันไม่ถูก ต้อง
เมื่อถามว่ามีอะไรจะพูดก่อนที่จะเข้าไปในห้องพิจารณาคดีหรือไม่ นายวัฒนา กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าความจริงก็คือความจริง และที่กล่าวหาไม่มีความจริงสักเรื่องเดียว ซึ่งตนสามารถพิสูจน์ได้ทั้งหมด เมื่อข้อกล่าวหาเป็นเท็จพยานที่นำมาพิสูจน์ทราบก็จะต้องเป็นเท็จทั้งหมด เพราะการปั้นพยานมาก็จะพูดไปคนละทิศคนละทางคนละเรื่องคนละราว แต่ถ้าข้อกล่าวหาเป็นจริงและพยานพูดความจริง ก็จะเหมือนกันทั้งหมด
“ซึ่งเป็นโชคไม่ดีของตนที่ศาลชั้นแรกเลือกที่จะเชื่อโจทย์ ไม่ได้ดูพยานจำเลยจำนวนมาก แต่วันนี้ตนจะชี้ให้องค์คณะเห็นพยานแล้ววินิจฉัย ขอให้รู้ว่าตัวเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และ ยังยืนหยัดต่อสู้ตามครรลอง ซึ่งตนอาจจะเป็นจำเลยในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาที่สู้จนวินาทีสุดท้ายแน่นอน ดังคำที่ว่าภาษากาย ก็จะรู้ว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด และจะเดินหน้าชนแบบนี้ต่อไป”
สำหรับคดีนี้เป็นคดีที่ 12 แล้ว ซึ่งตนโดนคดีทุจริตในชั้นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)มา 4 คดี ประกอบด้วย คดีหวย คดีรถดับเพลิง คดีกล้ายาง และคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งยกฟ้องไปทั้งหมดแล้ว และในชั้นคณะรักษาความสงบ(คสช.) ก็นำคดีมาใส่ตน ซึ่งตนโดนทั้งหมด 12 คดี ซึ่งทั้ง 11 คดีถูกยกฟ้องไปทั้งหมด ชัดเจนว่าเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ จึงไม่อยากให้การเมืองหรือความรู้สึกเข้าไปในศาล อยากให้วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องคำนึงว่าตนเป็นใคร เพียงแค่ตัดสินให้ความผิดตามพยานหลักฐาน
ก่อนหน้านี้ เมื่อ 24 ก.ย.2563 ศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษาจำคุก นายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 99 ปี ซึ่งตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี