วิกฤติปชป. "เลือดเก่า"ไหลออก ด่านหิน "บิ๊กสีฟ้า"จับตาผ่าใหญ่
"สภาวะเลือดไหล" ภายในค่ายปชป. ในฐานะพรรคเก่าแก่ที่สุดในสนามการเมืองไทยยามนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงโดยง่าย สถานการณ์ภายในคุกรุ่น บวกเสียงเรียกร้องจากบรรดาสมาชิก จึงต้องจับตาไปที่การ"ปรับโครงสร้าง" เพื่อเตรียมพร้อมรับศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ในห้วงที่การเมืองส่งสัญญาณเตรียมพร้อมรับศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ทว่าในส่วนของ “ค่ายสีฟ้า” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ยามนี้ยังคงเผชิญวิกฤติ “เลือดไหล” อย่างไม่หยุดหย่อน
ล่าสุดเป็นกรณีของ “รุ่นเก๋าเมืองคอน” สุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราชหลายสมัย ที่ตัดสินใจปิดตำนาน 30 ปีค่ายสะตอโบกมืออำลาบ้านหลังเก่าไปเรียบร้อย
ชนวนเหตุทิ้งบ้านเก่าในครั้งนี้ หนีไม่พ้นปัญหาการส่งผู้สมัครพื้นที่ “สนามเมืองคอน” ซึ่ง “สุรเชษฐ์” บอกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก “3 บิ๊ก ปชป.” ทั้งที่ครอบครัวของตนผูกพันกับพรรคมาตั้งแต่รุ่น “สุรินทร์ มาศดิตถ์” ผู้เป็นพ่อ
แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่เป็นที่รู้กันว่า “3 บิ๊ก ปชป.” ที่ “สุรเชษฐ์” พูดถึงหนีไม่พ้น "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" หัวหน้าพรรค “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรค และ "ชำนิ ศักดิเศรษฐ์" ประธานคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครในนามพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้ได้แถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เมืองคอนรวม 3 คน
“พรรคไม่ให้ความเป็นธรรม ทั้งที่พรรคมีกฎระเบียบ มีขั้นตอนกระบวนในการคัดเลือกผู้สมัคร ผมจึงขอลาออกให้เป็นอย่างของสมาชิกคนอื่น ทั้งที่ครอบครัวของผมอยู่พรรคประชาธิปัตย์มา 65 ปี ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวผม วันนี้ฟ้าหม่นหมอง วันไหนฟ้าสดใส ผมรอการเปลี่ยนในพรรค ถ้าเปลี่ยนหัวหน้าพรรคผมค่อยกลับมาอีก” สุรเชษฐ์กล่าวในวันอำลาปชป.
อย่างที่รู้กันว่า “สภาวะเลือดไหล” ของค่ายประชาธิปัตย์รอบนี้ไม่ใช่รอบแรกเพราะหากย้อนกลับไปก่อนหน้าเพียงไม่กี่วัน ยังมีกรณีของ “ถวิล ไพรสณฑ์” อดีตส.ส.หลายสมัย มือกฎหมายคนสำคัญ และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทิ้งค่ายสะตอ
ก่อนเปิดตัวข้ามขั้วในสังกัดสีส้มอย่าง “พรรคก้าวไกล” ท่ามกลางคำถามต่างๆ นานาถึงการย้ายค่ายแบบพลิกขั้วในครั้งนี้
การตัดสินใจทิ้งบ้านหลังเก่าของ “2 รุ่นเก๋า” แห่งเมืองคอนครั้งนี้ แน่นอนเป็นการสะท้อนนัยสำคัญทางการเมือง ทั้งยังเป็นการตอกย้ำถึงสภาวะเลือดไหลภายในประชาธิปัตย์ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ
ในทางกลับกัน สถานการณ์ยามนี้จึงไม่ต่างกับเรือที่กำลังรั่ว ขณะที่“ลูกเรือ” เตรียมพร้อมที่จะสละเรือทุกเมื่อ
หาก “3 คีย์แมน” คนสำคัญทั้ง “จุรินทร์-เฉลิมชัย(ศรีอ่อน)-นิพนธ์” ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แนวโน้มที่อาจได้เห็นคนลาออกจากพรรคตามมาอีก ไม่ว่าจะเป็น “2 พี่น้องจันทร์พิทักษ์” วิลาศ-สุรันต์ จันทร์พิทักษ์ โดยเฉพาะ “หมอสุรันต์”ผู้เป็นน้องที่ว่ากันว่ามีพรรคใหม่ดึงตัวไปแล้ว
ไม่ต่างจากส.ส.และอดีตส.ส. “ก๊วนอภิสิทธิ์” ทั้ง “อันวาร์ สาและ” ส.ส.ปัตตานี หรือ “พนิต วิกิตเศรษฐ์” อดีตส.ส.กทม.ที่ช่วงหลังๆ ปรากฎภาพการแสดงความเห็นสวนทางกับต้นสังกัดในหลายต่อหลายครั้ง และยามนี้กำลังปันใจออกห่างโดยพฤตินัย
โดยเฉพาะในส่วนของพนิต ก่อนหน้านี้มีความเคลื่อนไหวในส่วนของบุตชายหัวแก้วหัวแหวน "พรพรหม วิกิตเศรษฐ์" อดีตผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร New Dem หรือ กลุ่มคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดตัวลงพื้นที่ร่วมกับ"ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ " ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.
ไม่ต่างจาก “อันวาร์” ที่คนในพรรครู้ดีว่า มีปัญหากับกลุ่มจุรินทร์ชนิดต่อไม่ติด ถึงขั้นมีข่าวว่า ปชป.หาคนอื่นมาลงสมัครส.ส.เขตพื้นที่ของอันวาร์เรียบร้อยแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีนับตั้งแต่ “จุรินทร์” ขึ้นแท่นผู้นำพรรค ปชป.ต้องเผชิญสภาวะเลือดไหลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จำนวนนี้มีทั้งอดีตรัฐมนตรี และอดีตส.ส. ไล่มาตั้งแต่ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีต รมว.คลัง ผู้ก่อตั้งพรรคกล้า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ผู้ก่อตั้งพรรคไทยภักดี
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม วิฑูรย์ นามบุตร อดีตแกนนำภาคอีสาน ท่ามกลางกระแสข่าวเปิดดีลย้ายสังกัดไปพรรคเพื่อไทย รวมถึงนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ล่าสุดเปิดตัวในนามพรรคสร้างอนาคตไทย ร่วมกับกลุ่ม “2 กุมาร”
รวมถึง “ศิริศักดิ์ อ่อนละมัย”อดีตส.ส.ชุมพร 6 สมัยซึ่งล่าสุดประกาศหนุนพลังประชารัฐในศึกเลือกตั้งซ่อมชุมพรครั้งที่ผ่านมา กุ๊ก นาถยา เบ็ญจศิริวรรณหรือ นาถยา แดงบุหงา อดีต ส.ส.กทม. ที่ล่าสุดเปิดตัวในฐานะว่าที่ผู้สมัครเขตสะพานสูงในนามพรรคไทยสร้างไทย
กระทั่งล่าสุด คือรุ่นเก๋าแห่งเมืองคอน คือ “สุรเชษฐ์” และ “ถวิล”
สภาพที่เกิดขึ้น แม้แต่ผู้ใหญ่คนสำคัญของพรรคอย่าง “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา ยังยอมรับว่า “ชื่อเสียง เกียรติภูมิพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นไปอย่างเดิม”
ไม่ต่างจาก “หัวหน้าจุรินทร์” ที่พักหลังๆ พยายามขายภาพความเป็นเอกภาพภายในพรรค ชูประเด็นการประสานคนรุ่นเก่า-รุ่นใหม่
โดยเฉพาะชื่อของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรค ที่ถูกพูดถึงหลังปรากฎตัวในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับตาไปยัง “ยุทธศาสตร์”หาเสียงในสนามผู้ว่าฯกทม.ที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆนี้
จากนี้จึงต้องจับตาท่าทีของ “บิ๊กปชป.” เพราะอย่างที่รู้กันว่า "ผู้มากบารมี" ตัวจริงไม่ใช่ "จุรินทร์" ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค หากแต่เป็น "เสี่ยต่อ" เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและยามนี้ยังเป็นยุคที่ขั้วเฉลิมชัยผงาด
สิ่งที่จะต้องติดตามต่อคือเสียงเรียกร้องของบรรดาสมาชิกที่ส่งเสียงไปยังแกนนำในเรื่องการ "ปรับโครงสร้างพรรค" เพื่อหยุดวิกฤติ “เลือดไหล” ที่เกิดขึ้นให้ได้
เพราะไม่เช่นนั้นก็จะส่งผลไปถึงศึกใหม่ที่รออยู่เบื้องหน้า นั่นคือศึกเลือกตั้ง สนามใหญ่ซึ่งปชป.มีบทเรียนจากการเลือกตั้งเมื่อปี2562 ซึ่งพรรคพ่ายแพ้แบบย่อยยับในหลายพื้นที่
ฉะนั้นโจทย์ใหญ่ของค่ายปชป.ยามนี้คือจะต้องเร่งเกมในการ “ชิงพื้นที่-กู้ศรัทธา-รักษาฐานเสียง” พรรคเก่าแก่ที่สุดในสนามการเมืองไทยให้กลับคืนมา