"นายกฯ" โพสต์แจง "ศึกซักฟอก" ร่ายยาวไทยเจ๋ง พลิกวิกฤติ "โควิด" จนเศรษฐกิจบวก
"นายกฯ" โพสต์ ซัด "ฝ่ายค้าน" ข้อมูลซักฟอก "รัฐบาล" คลาดเคลื่อน แจงยิบประเทศ เผชิญมหาวิกฤติโควิด ศก.ถดถอยหนักสุด ตั้งแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 โว "ไทย" รับคำชม รับมือได้ดีที่สุด 9 เดือนแรกปี 64 ตัวเลขพลิกบวก จ้างงานเพิ่ม ลงทุนขยายตัวส่งออกพุ่ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า จากญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีของพรรคฝ่ายค้านนั้น มีข้อมูลหลายส่วนที่ "คลาดเคลื่อน" ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงของทางราชการ อาจสร้างผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งผมได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพี่น้องประชาชนได้รับรู้ผ่านการถ่ายทอดสดแล้วเมื่อช่วงเช้า และขอใช้ช่องทางนี้ในการสรุปประเด็นสำคัญๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอีกครั้ง
ในปัจจุบัน ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย กำลังเผชิญกับมหาวิกฤติโควิด ที่ทำให้เศรษฐกิจของโลกถดถอยอย่างรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลก ครั้งที่ 2 ยิ่งกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 และวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2549 แต่รัฐบาลและ ศบค. ก็สามารถบริหารสถานการณ์ด้วยหลักการรักษาความสมดุลทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจจนเป็นผลสำเร็จ นานาชาติให้การยอมรับ และชื่นชมประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับสถานการณ์โควิดได้ที่ดีที่สุด
โดยล่าสุด ไทยได้รับการจัดอันดับให้มีความมั่นคงทางสุขภาพ (Global Health Security Index : GHS) เป็นที่ 5 ของโลก และเป็นที่ 1 ของเอเชีย จากการประเมินความพร้อมในการรับมือการแพร่ระบาดโรคติดต่อปี 2021 โดยมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ และเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากโควิดได้ดีอันดับ 2 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย จากข้อมูลดัชนีโควิด-19 ระดับโลก(Global COVID-19 Index-GCI) จัดอันดับโดยสถาบัน PEMANDU นอกจากนี้ ประเทศไทยสามารถจัดหาและฉีดวัคซีนได้มากกว่า 100 ล้านโดส เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ก่อนสิ้นปี 2564 อีกทั้งสามารถเปิดประเทศไทยได้ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ตามที่ได้ประกาศไว้ สร้างความเชื่อมั่นต่อทุกภาคส่วนของไทย และชาวโลกอีกด้วย
จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลดีสืบเนื่องในอีกหลายด้าน อาทิ
1. เศรษฐกิจไทยใน 9 เดือนแรกของปี 2564 พลิกกลับมาเป็นบวก ได้ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี เกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดหมาย
2. จำนวนลูกหนี้ที่ต้องการขอพักชำระเงินต้น และดอกเบี้ย ลดลงมากกว่าครึ่งจาก 12.5 ล้านบัญชี เหลือ 6 ล้านบัญชี
3. การจ้างงานมีมากขึ้น ผู้ตกงานน้อยลง โดยจำนวนผู้มีงานทำ 37.9 ล้านคน ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ของปี 2564 ที่มีจำนวน 37.7 ล้านคน
4. นักศึกษาจบใหม่ปี 2563 – 2564 มีงานทำทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชน รวมกว่า 80%
5. การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว มีบริษัทที่เปิดกิจการใหม่ในปี 2564 มากกว่าบริษัทที่ปิดกิจการ กว่า 4 เท่าตัว
6. ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจสูงขึ้น โดยมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากกว่า 600,000 ล้านบาท และดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
7. การส่งออกทั้งปี 2564 ดีขึ้นอย่างมาก โดยมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ 18.91
8. การจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินการคลังของไทย โดย 3 สถาบันการจัดอันดับโลกได้แก่ S&P, Fitch Ratings และ Moody’s ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ BBB+ และอยู่ในระดับ "มีเสถียรภาพ" (Stable Outlook) สะท้อนได้ว่าภาคการเงินการคลังของไทยยังเข้มแข็ง และมีความน่าเชื่อถือในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤติโควิดที่ยังไม่รู้วันสิ้นสุดนั้น รัฐบาลไม่เคยหยุดคิดเรื่องการพัฒนาและการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยพร้อมที่จะพลิกโฉมประเทศ ด้วยการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพธุรกิจดิจิทัล รวมทั้งการแพทย์ครบวงจร
ล่าสุด ก็มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายเหล่านั้น 2,000 กว่าโครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7.7 แสนล้านบาท ที่จะเป็นทั้งโอกาสงาน สร้างอาชีพ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ อีกทั้งการใช้จ่ายในห่วงโซ่อุปทานในประเทศอีกมากมายตามมากระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
การดำเนินการต่างๆ ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่เป็นการดำเนินการตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อการพัฒนาในระยะยาว สอดคล้องกับทิศทางของโลกรวมทั้งเป้าหมายสำคัญในการนำเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว(BCG) พร้อมด้วยนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ(Carbon neutrality และ Net zero) มาใช้อย่างกว้างขวางและจริงจัง โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยให้เรารอดพ้นจากวิกฤติได้อย่างยั่งยืน และพร้อมที่จะฟื้นฟูประเทศ ไปสู่การเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้ในอนาคตครับ
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์