ครบ 21 ปี! ศาลปกครองชูผลงาน 3 ด้าน-ปิดจ็อบแล้วกว่า 1.54 แสนคดี

ครบ 21 ปี! ศาลปกครองชูผลงาน 3 ด้าน-ปิดจ็อบแล้วกว่า 1.54 แสนคดี

“ศาลปกครอง” แถลงครบรอบ 21 ปี ยกผลดำเนินการสำคัญ 3 ด้าน ปิดจ็อบแล้วกว่า 1.54 แสนคดี เดินหน้าพัฒนามาตรฐานการอำนวยความยุติธรรม นำเทคโนโลยีมาสนับสนุน แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย เผยยื่นฟ้องออนไลน์ ประเดิม 970 คดี เปิดช่องไกล่เกลี่ยคดี 3 ปีเศษ เสร็จแล้ว 315 คดี

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565 ที่ศาลปกครอง ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ นายชาญชัย แสวงศักดิ์ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานในการแถลงข่าวผลการดำเนินงานของศาลปกครอง เนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปี การเปิดทำการศาลปกครอง ณ ห้องสัมมนา 2 (แนวลาด) ชั้นบี 1 อาคารศาลปกครอง โดยแถลงผลการดำเนินงานของศาลปกครองให้สื่อมวลชนและสาธารณชนทราบ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

นายชาญชัย กล่าวว่า ภารกิจด้านการพิจารณาพิพากษาคดี โดยสถิติคดีของศาลปกครองในภาพรวม นับถึงวันที่ 27 กันยายน 2564 ก่อนที่เข้ามารับตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 180,986 คดี พิจารณาได้แล้วเสร็จ จำนวน 154,106 คดี คิดเป็นร้อยละ 85.15 ของคดีรับเข้า เมื่อตนเข้ามารับตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือน มีจำนวนคดีรับเข้า 4,847 คดี พิจารณาคดีแล้วเสร็จ จำนวน 4,135 คดี คิดเป็นร้อยละ 85.31 ของคดีรับเข้า ซึ่งในจำนวนคดีที่พิจารณาแล้วเสร็จนี้ พบว่า ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีได้แล้วเสร็จ เป็นจำนวน 1,730 คดี ส่งผลให้ศาลปกครองสูงสุดมีคดีค้างสะสมลดลง จำนวน 236 คดี และคาดว่าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาคดีได้แล้วเสร็จมากกว่าปีงบประมาณก่อนหน้า และเป็นปีที่ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีได้แล้วเสร็จมากที่สุดนับตั้งแต่เปิดทำการศาลปกครองมาอีกด้วย

นายชาญชัย กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่มีการเปิดใช้งานระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 และได้มีการพัฒนาระบบดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คู่กรณีและประชาชน ให้สามารถยื่นฟ้องคดีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ศาลปกครอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนคดีที่ยื่นฟ้องทางอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เปิดใช้ระบบ รวมสองชั้นศาล จำนวน 970 คดี และได้พิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน 385 คดี  

นอกจากการเพิ่มช่องทางการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ศาลปกครองยังได้เปิดให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถทำให้ข้อพิพาทยุติลงด้วยดีภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว และนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ที่นำกระบวนการไกล่เกลี่ยมาใช้ มีคดีที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยของศาลปกครองชั้นต้น จำนวน 373 คดี ไกล่เกลี่ยแล้วเสร็จ จำนวน 315 คดี คิดเป็นร้อยละ 84.45 และมีคดีอยู่ระหว่างกระบวนการไกล่เกลี่ย จำนวน 58 คดี หรือร้อยละ 15.55 

ครบ 21 ปี! ศาลปกครองชูผลงาน 3 ด้าน-ปิดจ็อบแล้วกว่า 1.54 แสนคดี

ในปี พ.ศ. 2564 ศาลปกครองยังได้พัฒนางานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้

ประการแรก การพัฒนามาตรฐานในการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งในด้านระบบการทำงาน โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร มีผลการดำเนินงาน ดังนี้

  • 1) ด้านการพิจารณาพิพากษาคดี

1.1) จัดทำร่างขั้นตอนและกรอบระยะเวลาการดำเนินคดีของตุลาการศาลปกครองเพื่อรองรับการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการจัดทำ พัฒนา และเชื่อมโยงระบบตรวจสอบ หรือแจ้งความคืบหน้าให้ประชาชนทราบเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ 

1.2) ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพิจารณาพิพากษาคดี และสนับสนุนการพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการประกาศใช้ระเบียบและแนวปฏิบัติในปี พ.ศ. 2564 อาทิ ประกาศประธานศาลปกครองสูงสุด เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจดู การคัดสำเนา และการรับรองสำเนาเอกสารในสำนวนคดี (ฉบับที่ 2) การออกระเบียบ ก.บ.ศป. ว่าด้วยเงินค่าธรรมเนียม เงินค่าปรับ และเงินกลาง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 และมีประกาศสำนักงานศาลปกครอง เรื่อง สถานที่ใช้เชื่อมโยงสัญญาณกับศาลและวิธีการที่จะใช้ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีปกครองทางอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบการประชุมทางจอภาพ (ฉบับที่ 2) ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คู่กรณีและประชาชน ฯลฯ

1.3) แก้ไขพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหาทางปฏิบัติในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีปกครองที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน โดยแก้ไขเพิ่มเติมทั้งสิ้นรวม 11 ประเด็น ดังต่อไปนี้ 

(1) เพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “คดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม” โดยกำหนดว่า คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองที่องค์คณะเห็นว่าเป็นคดีที่เกิดจากกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ประธานศาลปกครองสูงสุดประกาศกำหนด 

(2) แก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขการฟ้องคดี ให้สามารถฟ้องคดีปกครองในระหว่างการดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายตามที่กฎหมายกำหนดไว้แต่ยังมิได้มีการสั่งการหรือไม่มีการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายจนล่วงเลยเวลาไปแล้ว 

(3) เพิ่มเติมเงื่อนไขการฟ้องคดีกรณีที่การกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความเสี่ยงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ทรัพยากร ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชน และเป็นความเสียหายที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง 

(4) เพิ่มเติมให้มีการฟ้องคดีแบบกลุ่ม 

(5) เพิ่มเติมอำนาจให้ศาลปกครองสามารถกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาในคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้ โดยต้องคำนึงถึงหลักการป้องกันหรือหลักข้อควรระวังความเสียหายอย่างร้ายแรงที่จะเกิดแก่ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมหรือแก่สุขอนามัยของประชาชนประกอบด้วย

(6) เพิ่มเติมให้คำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีปกครองสิ่งแวดล้อมผูกพันบุคคลภายนอกหรือหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีหรือมีหน้าที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายได้ 

(7) เพิ่มเติมให้ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับในคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมให้บุคคลภายนอกใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ โดยจะกำหนดเวลาหรือเงื่อนไขอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ได้ 

(8) เพิ่มเติมให้ศาลปกครองกำหนดคำบังคับในคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยต้องคำนึงถึงหลักการป้องกันหรือหลักข้อควรระวังความเสียหายอย่างร้ายแรงที่จะเกิดแก่ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมหรือแก่สุขอนามัยของประชาชนประกอบด้วย 

(9) เพิ่มเติมให้ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับในคำพิพากษาเกินกว่าหรือแตกต่างจากคำขอของผู้ฟ้องคดี กำหนดถึงการสงวนสิทธิแก้ไขคำบังคับในคำพิพากษา กำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ และออกคำสั่งให้คู่กรณีดำเนินการกำจัดมลพิษภายในระยะเวลาที่กำหนด 

(10) กำหนดให้การออกระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ ต้องส่งให้สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 

(11) ให้จัดตั้งสำนักพัฒนาระบบคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมขึ้นในสำนักงานศาลปกครอง เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากร-ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นการปฏิรูปที่ 7 การปฏิรูประบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อม  
ทั้งนี้ ก.บ.ศป. ได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นตามขั้นตอนของกฎหมาย และจะได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในลำดับถัดไป

  • 2) ด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและโครงสร้างพื้นฐาน

2.1) พัฒนาระบบการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน โดยการพัฒนาระบบสนับสนุนตุลาการและให้บริการแก่คู่กรณีผ่านอุปกรณ์หรือเครื่องมือการสื่อสาร (Web mobile application) และปรับปรุงห้องไต่สวนและห้องพิจารณาคดีอิเล็กทรอนิกส์ โดยติดตั้งระบบประชุมทางจอภาพ จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองเชียงใหม่ ศาลปกครองขอนแก่น ศาลปกครองสงขลา และศาลปกครองระยอง รวมทั้งปรับปรุงห้องประชุมองค์คณะอิเล็กทรอนิกส์ในศาลปกครองสูงสุด 

2.2) พัฒนาระบบข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจอัจฉริยะสำหรับผู้บริหารศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง โดยจัดหาเครื่องมือจัดทำระบบการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลด้วยซอฟต์แวร์ระบบธุรกิจอัจฉริยะ Business Intelligence : BI และอุปกรณ์การนำเสนอข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร 

2.3) สร้างความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อสนับสนุนกระบวนพิจารณาคดีของศาลปกครองด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย โดยการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน Linkage Center กับกรมที่ดิน สำนักงานประกันสังคม และกรมการปกครอง 

2.4) พัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการของศาลปกครอง โดยดำเนินการจัดหาระบบถ่ายทอดภาพ เสียง วีดีโอ เพื่อบันทึกและจัดเก็บสื่อมัลติมีเดียและเผยแพร่สำหรับให้บริการประชาชนผ่านเว็บไซต์ของศาลปกครอง

2.5) พัฒนาฐานข้อมูลและระบบบังคับคดีปกครองด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บริการประชาชนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย ระบบยื่นคำร้องเกี่ยวกับการบังคับคดีปกครองผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-filing) การเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลายของกรมบังคับคดี และการปรับปรุงระบบบังคับคดีปกครอง เพื่อติดตามการบังคับคดีปกครองทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค 

ประการที่สอง การมุ่งเน้นให้กระบวนการยุติธรรมทางปกครองเป็นกลไกในการจัดการข้อพิพาทที่เป็นปัญหาสำคัญ เป็นลักษณะของการตัดไฟแต่ต้นลม โดยจัดทำเป็นโครงการศึกษาวิเคราะห์เหตุแห่งการฟ้องคดีเพื่อป้องกันและลดการนำข้อพิพาททางปกครองมาสู่ศาล ในรอบปี พ.ศ. 2563 เพื่อนำเสนอผลการวิเคราะห์เหตุแห่งการฟ้องคดีต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ ป้องกันและลดการนำข้อพิพาททางปกครองมาสู่ศาล

ประการที่สาม การสานต่อและขยายความร่วมมือกับองค์กรภายนอก ทั้งที่เป็นองค์กรภาครัฐและภาคประชาชน รวมทั้งองค์กรต่างประเทศ ได้แก่

1) การสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานภาครัฐ โดยจัดอบรมโครงการเสริมสร้างหลักปฏิบัติราชการที่ดีจากคำวินิจฉัยของศาลปกครองให้แก่ทุกภาคส่วนในสังคม จัดเสวนาทวิภาคีระหว่างศาลปกครองกับหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง 

2) การส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานตามภารกิจของศาลปกครอง โดยจัดให้มีช่องทางรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชนที่มาติดต่อราชการ ณ ศาลปกครอง รวมทั้งผ่านระบบออนไลน์ ได้แก่ คอลเซ็นเตอร์ เฟซบุ๊ก ไลน์ อีเมลล์ และเว็บไซต์ศาลปกครอง การเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถานศึกษาและประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมรับรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของศาลปกครองผ่านโครงการเปิดบ้านศาลปกครอง และการศึกษาดูงานศาลปกครองทั้งในส่วนกลางและในภูมิภาค 

3) การสร้างความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ โดยจัดกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการกับรัฐบาลฝรั่งเศส จัดบรรยายทางวิชาการร่วมกับ State Courts ของสิงคโปร์ รวมทั้งเข้าร่วมการสัมมนาระหว่างประเทศและการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ลาว เพื่อขับเคลื่อนและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินโครงการความร่วมมือทางวิชาการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางกฎหมาย การศาล และการบริหารงานยุติธรรมทางปกครองระหว่างสำนักงานศาลปกครองและศาลประชาชนสูงสุดแห่ง สปป.ลาว โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศาลปกครอง และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการเตรียมการจัดตั้งคณะศาลปกครองในศาลประชาชนสูงสุดแห่ง สปป.ลาว จนเป็นผลสำเร็จ โดยศาลประชาชนสูงสุดแห่ง สปป.ลาว ได้เปิดรับพิจารณาคดีปกครองอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564