สุพรีม ฟาร์มาเทค เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริม “เควอซิติน” ด้วยเทคโนโลยี ไลโปโซม เพื่อตอบโจทย์ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
บริษัท สุพรีม ฟาร์มาเทค จำกัด บริษัทผู้นำทางด้านการผลิตและส่งออกอาหารเสริมรายใหญ่ของประเทศไทย เผยว่า ทางบริษัทมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสูตรใหม่ที่มีสารสกัดจาก “เควอซิติน” โดยผลิตด้วยเทคโนโลยีไลโปโซมที่ช่วยเสริมในเรื่องการดูดซึมของสารอาหารให้ได้ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันสถิติผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจมีอัตราที่สูงเพิ่มขึ้น สาเหตุอันเนื่องมาจากมลภาวะทางสภาพอากาศ, การสูบบุหรี่ และโรคอ้วน เป็นต้น ทั้งนี้มีข้อมูลจาก Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME) ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2009 จนถึง ปี ค.ศ. 2019 ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 77.1% นอกจากนั้นจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึง 32.9% อีกด้วย
ศาสตราจารย์ M. R. Mozafari ผู้อำนวยการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและผู้จัดการด้านการผลิตในการวิจัย บริษัท สุพรีม ฟาร์มาเทค จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันมีนักวิจัยและสถาบันเทคโนโลยีมากมายให้ความสนใจเกี่ยวกับประโยชน์จาก เควอซิติน ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยในเรื่องการลดการอักเสบ, การลดปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด, การลดความดันในเลือด, และยังเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายฉบับระบุว่า เควอซิติน มีส่วนช่วยในการต้านไวรัสเกี่ยวกับโรคในระบบทางเดินทางใจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณมิลินท์ วินทรสิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สุพรีม ฟาร์มาเทค จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญของแนวโน้มความต้องการของตลาดจากสถิติผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจดังกล่าวจึงผนึกกำลังกับ ดร. Irina Bortnikova จากสถาบันการแพทย์ OM Clinic กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ผู้เชี่ยวชาญภายใต้ความร่วมมือกับ บริษัท สุพรีม ฟาร์มาเทค จำกัด ในการพัฒนาเควอซิตินร่วมกับวิตามินซีและวิตามินดี ซึ่งสูตรอาหารเสริมดังกล่าวช่วยส่งเสริมให้คุณสมบัติของเควอซิตินต้านไวรัสดียิ่งขึ้นและการนำเทคโนโลยีไลโปโซมมาใช้ช่วยตอบโจทย์การรักษาคุณสมบัติของสารที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างครบถ้วน
ในช่วงปี 2021 นี้ บริษัท สุพรีม ฟาร์มาเทค จำกัด ได้ทำสัญญาระหว่างประเทศในการผลิตและส่งออกอาหารเสริมด้วยเทคโนโลยีไลโปโซม โดยมีส่วนประกอบหลักเป็นสารเควอซิตินเพื่อกระจายสินค้าไปยังนานาประเทศ อาทิเช่น สหพันธรัฐรัสเซีย, ประเทศยูเครน, ประเทศตุรกี และประเทศคาซัคสถาน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นบริษัท ฯ มีการวางแผนการผลิตสินค้าเพิ่มให้กับประเทศอื่น ๆ ร่วมด้วย ๆ เพื่อขยายฐานการส่งออกและตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่และเพื่อเป็นการขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในแต่ละพื้นที่ได้อีกด้วย
แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.healthdata.org/thailand
https://www.instagram.com/om.clinic_kz/