Chula UTC ติดปีกปั้นสตาร์ทอัพสาย Deep Tech ด้าน AI และ Medtech ไทย
ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula UTC) ติดปีกปั้นสตาร์ทอัพสาย Deep Tech ด้าน AI และ Medtech ไทย ป้อนตลาดเสริมธุรกิจไทยแกร่ง ชูความสำเร็จและผลงานสุดล้ำจากนวัตกรไทยในงาน UTC Demo Day
9 กุมภาพันธ์ 2565 ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ Chulalongkorn University Technology Center (UTC) ศูนย์บ่มเพาะ และเร่งสปีดนวัตกรรมจากเทคโนโลยี Deep Tech เพื่อผลักดันงานวิจัยให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือบริหารที่สามารถตอบโจทย์ และสร้างประโยชน์แก่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เผยความสำเร็จการจัดงาน UTC Demo Day ประจำปี 2564 ชูผลงานนวัตกรรมเด่นด้าน AI และ MedTech จาก 15 ทีมสุดเจ๋ง ที่มีศักยภาพเพื่อก้าวสู่การเป็น Deep Tech Startups ของประเทศไทยในอนาคต พร้อมจัดบูธออนไลน์แสดงผลงานที่โดดเด่นด้าน AI และ MedTech อีกกว่า 30 ผลงาน และกิจกรรม Business Matching กับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ และวิทยากรชั้นนำระดับนานาชาติมาร่วมให้มุมมอง แนวคิด แบ่งปันองค์ความรู้ และประสบการณ์ด้าน Deep Tech แก่ผู้ที่ร่วมงานแบบเจาะลึก
อาจารย์ ดร.ศันธยา กิตติโกวิท ผู้อำนวยการศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่า หลายประเทศเผชิญกับการดิสรัปของเทคโนโลยีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คน และถูกนำมาปรับใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อเข้าถึงข้อมูลต่างๆ แก้ไขข้อบกพร่อง เพิ่มประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนองค์กรยุคใหม่ให้เดินหน้าต่อไปได้แบบติดสปีด UTC Demo Day เป็นการรวมสุดยอดนวัตกรรมที่เป็นผลงานวิจัยจากเทคโนโลยีเชิงลึกจากนวัตกรไทยมาไว้ในที่เดียว และตอบโจทย์การเป็น Gateway ที่เชื่อมนักพัฒนาและนักลงทุนมาไว้ด้วยกัน ก่อเกิดเป็นเครือข่ายที่ทรงพลัง และสามารถต่อยอดให้เกิดเป็นรูปธรรมที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และออกสู่ตลาดได้จริง เสริมสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ และเพิ่มมูลค่าให้องค์กรได้ในทุกมิติ พร้อมขับเคลื่อนคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมไทยให้อย่างยั่งยืน
ดร.ประวีร์ เครือโชติกุล หัวหน้าศูนย์ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สำหรับงาน UTC Demo Day ในปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากพันธมิตรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีผู้เข้าร่วมงานผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์จำนวนมากจากหลากหลายวงการ ทั้งนักวิจัย นักวิชาการ หน่วยงานราชการ องค์กรเอกชนชั้นนำ นักลงทุน ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ บริษัทสตาร์ทอัพ สมาคมการค้า สถานศึกษา และนักเรียนนักศึกษา อาทิ เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน), บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด, โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ, ทรู คอร์ปอเรชั่น, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), เครือเบทาโกร, LINE MAN, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เป็นต้น โดยมุ่งหวังที่จะเป็นเพชรเม็ดงามที่น่าสนใจ และมีศักยภาพในการนำมาต่อยอดสู่การเป็นธุรกิจ Deep Tech Startup ในอนาคต ภายในงานนอกจากจะได้รับฟังการนำเสนอผลงานนวัตกรรมจาก 15 ทีมที่โดดเด่นแล้ว ยังมีนิทรรศการออนไลน์แสดงนวัตกรรมด้าน AI และ MedTech อีกกว่า 30 ผลงาน รวมไปถึงการเสวนาจากกูรูเทคระดับอินเตอร์ ได้แก่ ดร. นัยวุฒิ วงษ์โคเมท ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานกรรมการ บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน), ดร. เอธิกาน กานดาซามี คารุเพีย ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยี จากเอ็นวิเดีย, ดร. โจฮาน บาร์ธเธลมี อาจารประจำมหาวิทยาลัยวูลล็องก็อง ประเทศออสเตรเลีย และวิลเลียม ลี รองผู้อำนวยการ ประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ที่ได้มาเล่าประสบการณ์การทำ Spin-off จากงานวิจัย
"จากความสนใจ และการตอบรับร่วมงานขององค์กรขนาดใหญ่ทั้งใน และต่างประเทศ ประกอบกับผลการวิจัยในหัวข้อ Thailand Digital Technology Foresight 2035 ที่ทำร่วมกันระหว่าง Frost & Sullivan และ depa ที่คาดการณ์ว่า มูลค่าของตลาด AI ในประเทศไทยจะแตะแสนกว่าล้านบาท ภายใน 8 ปีข้างหน้า และมีโอกาสสูงถึงเกือบสองแสนล้าน ภายในปี 2035 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสาร, โทรคมนาคม, สุขภาพ, เมืองอัจฉริยะ และความมั่นคงของประเทศ รวมไปถึง Krungsri Research 2020 ที่เผยว่า ตลาด MedTech ของประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลค่าราว ห้าหมื่นล้านบาท และคาดจะโตเฉลี่ยราว 6.5% โดยมีปัจจัยหลักมาจากความต้องการด้านเครื่องมือทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยเพื่อการวินิจฉัยโรคอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการวินิจฉัยโรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง จึงเป็นเสียงสะท้อนที่ชัดเจนถึงเทรนด์ และแนวโน้มการเติบโตของ AI และ MedTech ในประเทศไทยว่า มี Demand ในตลาดมาก และสามารถขยายตัวไปได้อีกไกล"
สำหรับ 15 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกให้นำเสนอผลงานกับนักลงทุน และองค์กรชั้นนำ ประกอบด้วย MyCourseVille แพล็ตฟอร์มบริหารการเรียนการศึกษาแบบออนไลน์สำหรับทุกช่วงวัย, Eikonnex AI ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อการอ่านภาษาไทยด้วยภาพ (OCR), ICDguide ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อจำแนกรหัส ICD จากเวชระเบียน, Gowajee แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์เพื่อการประมวลผลการพูด ฟัง และทำความเข้าใจภาษาไทย, DeepGI ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการระบุติ่งเนื้อในการตรวจลำไส้ใหญ่จากกล้องส่องภายใน, Chest X-Ray Interpreter ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการอ่านผลภาพเอ็กซ์เรย์ทรวงอกอัจฉริยะ, KRx ชุดทดสอบกลิ่น, Pass อุปกรณ์เสริมเพื่อการอัลตราซาวด์หาตำแหน่งในการเจาะน้ำไขสันหลัง, Digital Cognitive Diagnosis Platform ระบบวินิจฉัยคัดกรองผู้ป่วยบกพร่องทางความคิดด้วยปัญญาประดิษฐ์, Stroke Subtype Classification System ระบบจำแนกประเภทของโรคหลอดเลือดสมองด้วยปัญญาประดิษฐ์, UV Irradiance Prediction ระบบและทำนายปริมาณรังสียูวีแบบอัตโนมัติสำหรับการรักษาทางไกล, Cancer Neoantigen Discovery ปัญญาประดิษฐ์สำหรับการค้นหานีโอแอนติเจนเพื่อการรักษามะเร็ง, I-FARM PIG ระบบติดตามและจัดการฟาร์มปศุสัตว์สุกรด้วยปัญญาประดิษฐ์ และ IoT และ ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อการตรวจจับความผิดปกติของท่อส่งใต้ท้องทะเลแบบอัตโนมัติ
"เราจะเป็นหน่วยงานที่ผลักดันนวัตกรรมไทยจากเทคโนโลยีเชิงลึกอย่างจริงจัง ขับเคลื่อน Deep Tech Startup ให้เกิดขึ้นจริง และสามารถผลักดันผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ตอบรับและตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ ระดับประเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เจริญก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป" ดร.ประวีร์ เครือโชติกุล กล่าวทิ้งท้าย