ฮั่วเซ่งเฮง แนะกลยุทธ์ลงทุนทองครึ่งหลังของปี ‘67 และ 3 ปัจจัยที่ต้องจับตา

ฮั่วเซ่งเฮง แนะกลยุทธ์ลงทุนทองครึ่งหลังของปี ‘67 และ 3 ปัจจัยที่ต้องจับตา

ฮั่วเซ่งเฮง แนะกลยุทธ์ลงทุนทองครึ่งหลังของปี ‘67 และ 3 ปัจจัยที่ต้องจับตา ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทอง

นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เผยข้อมูลจากงานสัมมนา Investment Forum 2024 โดยชี้แนะถึงทิศทาง"ราคาทองคำครึ่งหลังของปี 2567" ว่า แนวโน้มความต้องการทองคำของตลาดในประเทศยังคงมีเพิ่มขึ้น แต่ต้องจับตามองถึงสถานการณ์และปัจจัยหลายๆ ด้าน ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครฯ มีทีท่าชัดเจนต้องการให้ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟด เร่งลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ ทางฮั่วเซ่งเองมองว่าอีก 2-3 ปี นับจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีของทองคำ

3 ปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทอง

1.) แนวโน้มดอกเบี้ย: คาดกันว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว และหากมีข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเริ่มลงหรือเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว คาดว่าดอกเบี้ยจะลดมากกว่า 1 ครั้ง
2) นโยบายการคลังของสหรัฐ: จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นผู้ชนะ ซึ่งทรัมป์เองมีนโยบายลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยจะส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ
3) นโยบายการเงิน: หากเฟด ไม่ลดดอกเบี้ย หนี้ของสหรัฐจะมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งฯ มีแนวโน้มว่าจะมีการก่อหนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดอกเบี้ยในระดับสูงจะนำมาซึ่งปัญหาหนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทอง หรือหากเฟดลดดอกเบี้ย ก็จะเป็นผลบวกกับทองเช่นเดียวกัน ทองคำยังคงได้รับความนิยมและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน โดยมีจุดเด่นซึ่งแตกต่างจากการลงทุนอื่นๆ และถือเป็นการลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว

โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10% (ย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา โดยหนึ่งในเหตุผลหลักที่นักลงทุนมักจะให้ความสนใจการลงทุนทองคำ ก็คือความสามารถในการคุ้มครองมูลค่าเงินลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจมีความ ผันผวน หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น ดังนี้

1.) การเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย: ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ "Safe-Haven Asset" ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
2.) ความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก: ทองคำมีการซื้อ-ขายทั่วโลกและมีตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อ-ขายได้ตลอดเวลา
3.) การรักษามูลค่าในระยะยาว: ทองคำไม่เสื่อมค่าเมื่อเวลาผ่านไป ต่างจากสินทรัพย์บางประเภทที่อาจสูญเสียมูลค่า เนื่องจากการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพ

ฮั่วเซ่งเฮง แนะวิธีการสร้างผลตอบแทนให้สม่ำเสมอ แนวทางที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และใช้ได้ดีกับทุกสภาวะของตลาด แม้ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วย 2 วิธีดังนี้

1.) การกระจายการลงทุน (Diversify Portfolio) การกระจายการลงทุนที่ดี ต้องตอบโจทย์การลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ซึ่งการคัดเลือกสินทรัพย์และให้น้ำหนักในการลงทุนตามเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละคน เป็นไปตามระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้
2.) Dollar Cost Averaging (DCA) เป้าหมายของ DCA คือการลงทุนด้วยค่าเฉลี่ยของราคา แม้จะไม่ใช่วิธีที่ทำให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ก็เป็นการเฉลี่ยต้นทุนในการเข้าซื้อ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวและต้องการลดความเสี่ยงอื่นที่ไม่ใช่ market risk ความต้องการทองคำของตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้นนั้น จะยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันที่ผู้คนต่างซื้อทองคำมอบเป็นของขวัญ หรือได้เงินก้อนจากโบนัสและต้องการลงทุน ทั้งนี้ ฮั่วเซ่งเฮงแนะนำการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนี้

แนวโน้มราคาทองคำช่วงครึ่งหลังของปี 2567

แนวโน้มราคาทองคำโลก แนวรับบริเวณ 2,250-2,430 ดอลลาร์ ยังคงแข็งแกร่งและสามารถฟื้นตัวขึ้นมาจากระดับดังกล่าวได้ ซึ่งแต่ละรอบที่ปรับตัวขึ้นมาก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้แทบทุกครั้ง และยังมีการยก Low และยก High ขึ้นมาในแต่ละเวฟ ซึ่งเป็นรูปแบบของแนวโน้มขาขึ้น 

คาดการณ์ แนวรับ 2,280 / 2,250 แนวต้าน 2,400 / 2,430 แนวโน้มราคาทองในประเทศ ได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวราว 2.40 บาทหรือราว 6.8% ช่วยหนุนราคาทองคำ โดยหลังจากขึ้นมาเหนือระดับ 40,000 บาทแล้ว ราคายังไม่เคยหลุดลงไปต่ำกว่าระดับ 40,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้นทั้งจากความผันผวนของตลาด รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบกระแสลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ และแน่นอนว่ารวมถึงแนวโน้มของทองคำที่เป็นขาขึ้นด้วย

คาดการณ์ แนวรับ 40,000 / 39,700 แนวต้าน 41,000 /41,300 ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อทอง ประเด็นที่ 1 : ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในการประชุมเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้อมูล Dot plot แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจลดดอกเบี้ยปีนี้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น, ประเด็นที่ 2 : การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะเข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำค่อนข้างมาก

ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อทอง ธนาคารกลางจีน ประกาศระงับการซื้อทองคำในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเวลา 18 เดือน ทำให้ตลาดตีความว่าธนาคารกลางจีนอาจหยุดซื้อทองคำแล้ว ทั้งนี้ ในปี 2566 ธนาคารกลางจีนเข้าซื้อรวม 225 ตัน หรือเฉลี่ย 19 ตันต่อเดือน สำหรับ 4 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองเพียง 130 ตัน ซึ่งถือว่าน้อยลง แต่หากราคาทองลงแรง ก็คาดว่าจะเข้าซื้อเพิ่มอีก

ดังนั้น หากมีข่าวว่าธนาคารกลางจีนกลับมาซื้อทองคำอีกครั้ง เหตุผลดังกล่าวจะกลับมาเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองสูงขึ้น