โลจิสติกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์บูม!‘อีเอสอาร์’ปักหมุดลงทุน3.5หมื่นล้านใน5ปี
โลจิสติกส์ คลังสินค้า ดาต้าเซ็นเตอร์ บูม!‘อีเอสอาร์’ปักหมุดไทยจ่อลงทุน3.5หมื่นล้านใน5ปี ระบุนักลงทุนเบนเข็มลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนดีกว่าโรงแรม ออฟฟิศ รีเทล แนวโน้มดีมานด์เพิ่มขึ้น
การเติบโตอย่างรวดเร็วของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนผู้ค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้าให้เช่า ธุรกิจโลจิสติกส์ หรืออุตสาหกรรมสมัยใหม่อย่างดาต้าเซ็นเตอร์ มีดีมานด์และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดึงดูดบริษัทต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ล่าสุด อีเอสอาร์ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมระดับโลกเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ และดาต้าเซ็นเตอร์ ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะและนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่อยู่ระหว่างกรุงเทพฯ และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) หรือ อีอีซี
เจ เมียร์ปูริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเอสอาร์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ ESR กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่าจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ โลจิสติกส์ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ทำให้ประเทศไทยเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์สร้างการเติบโตของ “อีเอสอาร์” ในภูมิภาคนี้ ในการลงทุนในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจโลจิสติกส์ คลังสินค้า ดาต้าเซ็นเตอร์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
ทั้งนี้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การขยายธุรกิจในประเทศไทยครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างความแข็งแกร่งเชิงกลยุทธ์ให้ “อีเอสอาร์” โดยประเทศไทยมีการพัฒนาด้านธุรกิจที่รวดเร็ว ประกอบกับมีจำนวนประชากรและกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการพื้นที่เพื่อรองรับกิจกรรมด้านโลจิสติกส์คุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศไทย จำนวน 2 โครงการ มูลค่าการลงทุน 8,000 ล้านบาท
โครงการแห่งแรก ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ (แหลมฉบัง) จ.ชลบุรี ในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นเขตส่งเสริมกิจการพิเศษโดยหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมการลงทุน ยกระดับนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศไทย โดยมีพื้นที่รวม 100 ไร่ หรือ 160,000 ตร.ม. และพื้นที่อาคารรวม ขนาด 93,000 ตร.ม. คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2568
โครงการที่สอง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) มีพื้นที่รวม 225 ไร่ หรือ 363,500 ตร.ม. และพื้นที่อาคารรวม 253,500 ตร.ม. แล้วเสร็จในปี 2569 โดยโครงการมีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ถนนเส้นสำคัญที่สะดวกต่อการเดินทางยังใจกลางกรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญอีกหลายแห่งในประเทศไทย และท่าเรือแหลมฉบัง เหมาะสมกับธุรกิจโลจิสติกส์ในการใช้เป็นฮับกระจายสินค้าไปยังทั่วประเทศ ผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซ ศูนย์รวมและกระจายสินค้าผ่านการขนส่งทางอากาศ ตลอดจนธุรกิจขนส่งสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ
นอกจากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้ง 2 แห่งดังกล่าวบริษัทได้มองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในทำเลยุทธศาสตร์แห่งอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านโลจิสติกส์ เช่น บางนา-ตราด, ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และวังน้อย รวมทั้งมีแผนที่จะขยายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น อาทิ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น ทั้งในรูปแบบการลงทุนเองและร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินในพื้นที่นั้นๆ
โดยในอีก 5 ปีข้างหน้ามีแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 35,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการระดมทุนจากกองทุนพัฒนาของบริษัท โดยมูลค่าการลงทุนนี้สอดคล้องกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่คาดการณ์ไว้ในระหว่างปี 2565-2570 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี 3.28%
“เชื่อว่าทำเลยุทธศาสตร์ โซลูชั่นอาคารเพื่ออุตสาหกรรมที่เหนือกว่าคู่แข่ง ประกอบกับทีมงานมากด้วยประสบการณ์ จะดึงดูดผู้เช่าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่และภาคธุรกิจที่มีการเติบโตสูงเข้ามาเป็นลูกค้าในอนาคต ส่งผลให้มีพื้นที่รวมทั้งหมด 2 ล้านตร.ม.ภายในระยะเวลา 5 ปี”
สยาม ทองกระบิล ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนและบริหารจัดการทรัพย์สิน อีเอสอาร์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า แนวโน้มของอสังหาฯ ประเภทโรงแรม สำนักงาน และรีเทล ต่อจากนี้ไปความนิยมจะลดลง โดยหลังวิกฤติซับไพรม์กระทบนักลงทุนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ก็มีวิกฤติเกิดขึ้นมาต่อเนื่องทั้งสถานการณ์การเมือง กระทั่งโควิด-19 ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบรุนแรง นักลงทุนชะลอการลงทุน และระยะหลังเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย ผลตอบแทนไม่ดีมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่สำนักงานและรีเทลให้ผลตอบแทนต่ำ ระดับ 5-6% เท่านั้น
“วิกฤติการณ์ที่ผ่านมาตอกย้ำและทำให้เห็นภาพชัดว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมค่อนข้างคงที่ แม้ว่าตัวทรัพย์จะดูไม่จูงใจเหมือนกับโรงแรม ออฟฟิศ รีเทล เพราะเป็นโกดังไม่สวยงามอะไร แต่ผลตอบแทนค่อนข้างดี และหลังโควิด ผลตอบแทนจากการลงทุนดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน ที่สำคัญดีมานด์มีมากขึ้นกว่าเดิมสูงมาก”