บิวท์ ทู บิวด์ยันไม่เล่นสงครามราคาเน้นสร้างคุณภาพ-ความแตกต่าง
บิวท์ ทู บิวด์ เผยตลาดรับสร้างบ้านปี 67 เผชิญความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ยืนยันไม่เล่นสงครามราคาเน้นสร้างคุณภาพ-ความแตกต่าง พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมSite Seeing สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้านต่อเนื่องดันรายได้1,200 ล้านบาท
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 ว่ายังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ที่ชัดเจนสุดคือ ความท้าทายในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไทย มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิ สงครามการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ปาเลสสไตล์ แม้ว่าการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะมีแนวโน้มว่าจะจบลงได้ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงเช่นกัน
ในส่วนเศรษฐกิจของคู่ค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะจีน สหรัฐฯ และยุโรป จากผลกระทบจากสงครามการสู้รบ ทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นสูงในปี 2566-2567 ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศไทยค่อนข้างมาก ส่วนปัญหาในประเทศก็มีเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง การเมืองซึ่งยังมีความไม่แน่นอนและมีเสถียรภาพ รวมไปถึงการใช้จ่ายต่างๆของภาครัฐที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ยังไม่ได้มีการอนุมัติจากสภาฯ ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้จ่ายได้อย่างมากและรวดเร็วภายในเดือนพ.ค.2567 เป็นต้นไป
ด้านปัจจัยบวกในปีนี้ เรื่องการท่องเที่ยว ที่จะนำเม็ดเงินสดเข้ามาในประเทศอย่างรวดเร็ว จากปี 2566 ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ 28 ล้านคน และเชื่อว่าในปี 2567 นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากถึง 35-38 ล้านคน จากปัจจัยการเปิดฟรีวีซ่าของไทยให้กับหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย เป็นต้น เรื่องการส่งออก ก็เชื่อว่าตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2567 เป็นต้นไป จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ในต่างประเทศเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED จะมีการปรับดอกเบี้ยลงตั้งแต่ประมาณกลางปี 2567 เป็นต้นไป
คาดการณ์ว่าในปี 2567 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3-4 ครั้ง หรือประมาณ 1% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกรวมทั้งไทยปรับลดลงด้วย และจะส่งผลให้ภาคธุรกิจทั่วโลกและไทยฟื้นตัวขึ้น การลงทุน ด้วยยุทธศาสตร์ประเทศจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศมายังประเทศไทยมากขึ้น จากการที่รัฐบาลออกแนะนำตัวตามเวทีโลกต่างๆ ทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) หรือสะพานเศรษฐกิจ รวมไปถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ และการสนับสนุน ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถ EV การทำ FTAกับต่างประเทศโดยเฉพาะ EU เป็นต้น ซึ่งจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นตั้งแต่กลางปี 2567 การใช้เม็ดเงินในประเทศ กว่างบประมาณจะผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา คงจะสามารถใช้และกระจายงบประมาณการเงินได้ตั้งแต่เดือนพ.ค.2567 เป็นต้นไป
รัฐบาลคงต้องใช้จ่ายงบประมาณเพื่อฟื้นเศรษฐกิจในประเทศและผลักดันให้ GDP ไทยสามารถเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3-3.5 % เปรียบเทียบกับ GDP ในปี 2566 ซึ่งเติบโตได้ประมาณบวกลบ 2% เท่านั้น ซึ่งในปี 2566 GDP ไทย ยังเติบโตได้น้อยกว่าปี 2565 ซึ่งโตประมาณ 2.6%
สำหรับภาคธุรกิจอสังหาฯ และรับสร้างบ้าน ในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากวิกฤติโควิด-19 แต่เริ่มมาชะลอตัวอีกในช่วงไตรมาส 3- 4 /2566 จากปัจจัยลบดังกล่าวข้างต้นในส่วนของบริษัทฯเองนั้นในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท แต่เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3-4 /2566 ภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดชะลอตัวลง ลูกค้าบางราย กู้สินเชื่อได้ไม่ 100% ส่งผลให้ชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านไป คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-15% ซี่งส่วนใหญ่เป็นบ้านระดับราคา 2-8 ล้านบาท แต่ระดับ 2-5 ล้านบาทจะมากที่สุด ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯในปี 2566 อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท
นายสุธี กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท จากปี 2566 ที่ทำได้ 1,100 ล้านบาท เท่ากับรายได้ของปี 2565 แบ่งเป็นรายได้จาก บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 20% หรือ 250 ล้านบาท บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 10-25 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30% หรือ 350 ล้านบาท และ บริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 2-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน50% หรือ 600 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุด
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมามีลูกค้าเซ็นสัญญาไปประมาณ 172 หลัง และปัจจุบันบริษัทฯอยู่ในระหว่างการก่อสร้างบ้านให้ลูกค้าประมาณ 250 หลัง ราคาตั้งแต่ 2-60 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 1,375 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล
“ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นธุรกิจ Product Oriented ไม่ใช่ Marketing Oriented คุณภาพบ้านหรือตัวสินค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการตลาดและการโฆษณา ถึงแม้การตลาดและการโฆษณาจะมีความสำคัญมากก็ตาม ถ้าทำเรื่องคุณภาพและมาตรฐานงานก่อสร้างดีธุรกิจจึงจะอยู่ได้อย่างมั่นคง”
กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ จึงให้ความสำคัญเรื่องแบรนด์และคุณภาพงานก่อสร้างอย่างมากมาตลอดกว่า 20 ปี ตั้งแต่ก่อตั้ง ทั้งนี้ในส่วนการทำตลาด บริษัทฯยังคงเน้นและให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรม “Site Seeing” สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้าน อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการจัดกิจกรรมไตรมาสละ 1 ครั้ง
ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 15 ปี และได้รับผลตอบรับดีมากจากลูกค้า กิจกรรมนี้ทำให้ลูกค้าได้เห็นและสัมผัสกับไซต์งานก่อสร้าง คุณภาพ งานก่อสร้าง โรงงานผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างบ้าน และทีมงานของบริษัทฯ โดยการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งสามารถรองรับลูกค้าประมาณ 40 ครอบครัว หรือประมาณ 100 รายเท่านั้น โดยในไตรมาส 1/2567 จะจัดขึ้นในวันที่ 3 ก.พ. 2567