ดีเวลลอปเปอร์แห่เปิดบ้านหรูหนีรีเจกต์เรตร่วมทุนแลนด์ลอร์ดพัฒนาโปรเจกต์
จากตัวเลขศูนย์ข้อมูลอสังหาฯจำนวนหน่วยโอนที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า5ล้านบาท “ติดลบ” ทุกเซ็กเมนต์ทั้งในจำนวนหน่วยและมูลค่าส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์แห่พัฒนาโครงการบ้านหรูระดับราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทหวัง ลดความเสี่ยงรวมทั้งจับมือแลนด์ลอร์ดพัฒนาโครงการ
ธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่บริษัทขยายการเติบโตแบบก้าวกระโดด เปิดตัวโครงการใหม่ในหลากหลายทำเลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน จนกลายเป็นผู้นำทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ รวมถึงมีโครงการครอบคลุมจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ ส่งผลให้บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ในปี 2567 นี้บริษัทเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี-บ้านเดี่ยว และบ้านแฝดใหม่ 20 โครงการ มูลค่า 17,000 ล้านบาท ครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล
พร้อมรุกตลาดต่างจังหวัด 6 จังหวัด อาทิ ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี และขอนแก่น ภายใต้โมเดลพันธมิตรร่วมกับแลนด์ลอร์ดในพื้นที่ ครอบคลุมทุกทำเลศักยภาพโดยตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 13,000 ล้านบาท พร้อมยอดโอนกรรมสิทธิ์ 8,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่เลื่อนเปิดตัว 8 โครงการ เหลือ 12 โครงการมูลค่า 16,500 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 20 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท
“สภาพเศรษฐกิจ กำลังซื้อ ไม่เอื้ออำนวย สะท้อนได้จากตัวเลขจีดีพี ที่โตแค่ 1.9% ขณะที่ปีนี้คาดการณ์จีดีพีจะขยายตัว 2.2-3.2% ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ ล้อไปกับตัวเลขจีดีพี ปีนี้จึงเลือกที่เปิดโครงการ ที่เจาะกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อ ในทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด”
โดยปีนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเติบโตแบบยั่งยืน เช่นเดียวกับดีเวลลอปเปอร์หลายรายที่ระมัดระวังการเปิดตัวโครงการเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงไม่มีปัญหารีเจกต์เรต!
สำหรับโครงการที่เน้นในปีนี้ ได้แก่ โครงการ เบลกราเวีย บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท จำนวน 4 โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับราคา 8-20 ล้านบาท จำนวน 5 โครงการ บริทาเนีย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับราคา 4-8 ล้านบาท จำนวน 9 โครงการ ไบรตัน บ้านแฝดและทาวน์โฮม ระดับราคา 2.5-4 ล้านบาท 1 โครงการ และ พูลวิลล่า 1 โครงการมูลค่า 350 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับโมเดล “ร่วมทุน” จาก20 โครงการ เป็นโครงการร่วมทุน 16 โครงการ ส่วนที่เหลือ 4 โครงการจะเป็นโครงการที่ลงทุนเอง
การลงทุนเป็นโครงการในต่างจังหวัด 12 โครงการ มูลค่า 9,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการขนาดเล็กที่จะสามารถพัฒนาได้เร็วเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศสร้างความได้เปรียบจากคู่แข่งได้เป็นอย่างดี
โครงการที่จะเปิดใหม่ในปี 2567 ปัจจุบันมีที่ดินรองรับแล้วทั้งหมด โดยปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาในมือ 23 แปลง เป็นที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการร่วมทุน 14 แปลง ส่วนที่เหลืออีก 19 แปลง เป็นที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการไม่ร่วมทุน ส่วนงบลงทุนซื้อที่ดินใหม่จะเป็นการพิจารณาเป็นแปลง
สมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) มองว่าตลาดอสังหาฯ ปีนี้จะเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีฐานต่ำ แต่ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยยังสูง คาดว่าอาจลดลงช่วงกลางปีนี้ ส่งผลให้ปีนี้ผู้ประกอบการปรับตัวด้านการเปิดตัวโครงการไม่มากเพื่อไม่ให้โอเวอร์ซัพพลาย
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดบ้านในบางทำเลเข้าสู่ภาวะเรดโอเชียนที่มีการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากจำนวนซัพพลายสูง ขณะที่กำลังซื้อลดลง ดังนั้นในปี 2567 เน้นกลยุทธ์ลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยเปิดตัว 6 โครงการ มูลค่า 7,218 ล้านบาท แบ่งเป็น 5 โครงการ ในทำเลปทุมธานี และ 1 โครงการ ทำเลนครปฐม
“ปีนี้บริษัทเน้นบ้านราคา 5-7 ล้านบาท ในสัดส่วน 40% บ้านราคา 3-5 ล้านบาท สัดส่วน 30% และบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 30% จากเดิม เป็นบ้านราคา 3-5 ล้านบาท 60-70% โดยตั้งเป้ายอดขาย 5,007 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้ 3,020 ล้านบาท”
สมนึก กล่าวว่า แม้ว่าปัจจุบันบ้านราคา 3-5 ล้านบาทยังมีดีมานด์ แต่อัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง! รวมถึงสถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าที่โดนปฏิเสธกู้บ้านมากสุด คือ กลุ่มที่มีรายได้ต่อครัวเรือนไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน มีอาชีพ “เอสเอ็มอี” และพนักงานเงินเดือน ต่างจากกลุ่ม 5 ล้านบาทขึ้นไป ที่มีปัญหาการปล่อยสินเชื่อน้อย เพราะเป็นกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อผ่อนไหว จึงดีกว่าในแง่ความยั่งยืน