"สิทธิชุมชน" สิ่งเหนี่ยวรั้งความเจริญชาติ
ดูอย่างการพัฒนาของจีน ประเทศจะเจริญได้ เราต้องยกเลิก “สิทธิชุมชน” ซึ่งเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งและถ่วงความเจริญของประเทศชาติ
ท่านที่ไปเที่ยวเมืองจีนบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนนั่งรถผ่านชนบทอันไพศาล ลองสังเกตดูว่าท่านเห็นหมู่บ้านดั้งเดิมบ้างไหม มีเหมือนกัน แต่น้อยมาก เช่น หมู่บ้านไป๋สือโพ อ.เป่าเฟิง เมืองผิงติ่งซาน มณฑลเหอหนาน หรืออื่นๆ แทบไม่ถึง 0.01% ของหมู่บ้านในชนบท ซึ่งเปลี่ยนรูปไปหมดแล้ว
เมื่อ 20 ปีก่อน ผมไปเซี่ยงไฮ้ เขาบอกว่า ถ้าไม่ได้กลับบ้านสัก 6 เดือน อาจหาทางเข้าบ้านไม่เจอ เพราะมีการตัดถนน จัดรูปที่ดินใหม่กับขนานใหญ่ให้เหมาะสมกับชีวิตสมัยใหม่ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
หมู่บ้านในชนบทส่วนใหญ่มีการรื้อร้างสร้างใหม่เพื่อให้เหมาะกับวิถีชีวิตใหม่ๆ ล่าสุดเมื่อปลายเดือน ธ.ค.2566 ผมเดินทางไปหมู่บ้านปาหม่า สมญานาม “หมู่บ้านอายุยืน” หรือเป็น 1 ใน 5 หมู่บ้านอายุวัฒนะของโลก
แต่อาคารต่างๆ การจัดสรรที่ดินใหม่เพื่อการอยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็เกิดขึ้น มีอาคารใหม่ๆ สร้างขึ้นมา ไม่ใช่หมู่บ้านแบบดั้งเดิมดังที่เรานึกฝัน
นี่คือความจำเป็นในการจัดรูปที่ดิน การจัดสรรที่ดินในรูปแบบใหม่ ไม่ใช่ “จมปลัก” อยู่กับแบบเดิมๆ ที่เหลือไว้ส่วนน้อยนิดเพียงเพื่อการท่องเที่ยว
ทุกวันนี้ผมอายุ 66 ปี ก็ยังยืนอยู่ข้างความถูกต้องของประชาชน และชิงชังการเอาเปรียบประชาชนคนเล็กคนน้อย แต่ถ้าคิดอีกที ปัญหาอาจสลับซับซ้อนกว่านั้น แต่เรามองแบบง่ายๆ ไปหรือไม่ เช่น บางคนอ้างว่าเราไม่ควรเปิดเผยราคาและชื่อผู้ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
เพราะถ้าโจรรู้ก็อาจถูกปล้นได้ แต่ในความเป็นจริง เราควรเปิดเผยให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาการฟอกเงิน และทำให้มีฐานข้อมูลในการประเมินค่าทรัพย์สินเพื่อการเสียภาษีได้สอดคล้องกับความเป็นจริง
ส่วนหากใครจะปล้นใคร ก็ต้องเพิ่มความเข้มแข็งของตำรวจ ไม่ใช่ไพล่ไปสร้างความเพี้ยนในอีกระบบหนึ่ง
อย่างกรณีข้อเรียกร้องของชาวกระเหรี่ยงที่ประสงค์จะทำไร่เลื่อนลอย 36 ครอบครัวๆ ละประมาณ 150 ไร่ต่อปี (รวม 5,400 ไร่ และต้องหมุนเวียน กลับมาทำกินพื้นที่เดิมทุกๆ 10 ปี) เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เท่ากับเป็นการสร้างกฎหมู่โดยอภิสิทธิชนส่วนน้อย และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่น
ปกติชาวบ้านทั่วไปได้ที่ดินครอบครัวละประมาณ 15 ไร่เท่านั้น ที่ดินนั้นเป็นของประชาชนทั่วไปทุกคนโดย ไม่ใช่ของใครที่อยู่ใกล้ทรัพยากรแล้วมาอ้างเป็นของตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ในจีนมีการ “ถอนรากถอนโคน” (Uproot) ชาวเขาเผายี (Yi) หรือลีซอ จีนนำชาวเขาจาก 38 หมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแถวยูนานมาอยู่รวมกันในเมืองเดียว ไม่ใช่ให้พวกเขาอยู่บนภูเขาเช่นเดิม
เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาการศึกษาของเด็กและเยาวชน ปัญหายาเสพติดและปัญหาความมั่นคงทางการเมือง โดยการทำให้เป็นคนจีน ชาวเขาเหล่านี้ได้รับการจัดสรรที่ดินและสร้างบ้านให้อย่างเรียบร้อย และชาวบ้านได้มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงเป็นของตนเอง
ถ้าคิดให้ลึกอย่างกรณีเหมืองคลิตี้ นับเป็นความสูญเสียของชุมชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีสารตะกั่วรั่วไหลจากโรงงานที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2518 และชาวบ้านได้เรียกร้องมาโดยตลอด จนเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2560 มีคำพิพากษาศาลฎีกาให้กรรมการของบริษัทเหมืองแร่ต้องรับผิดชอบเยียวยาและฟื้นฟูลำห้วย
กรณีนี้ถือได้ว่าโรงงานละเมิดต่อประชาชน ทั้งนี้คงเป็นเพราะรัฐที่ไม่รอบรู้ อ่อนแอและโกงกิน จึงทำให้เกิดโรงงานแบบนี้ขึ้นโดยไม่ได้ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีพอ อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นต้องทำเหมืองในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวม ก็อาจเจรจาย้ายชุมชนออกไปได้เช่นกัน
ในประเทศมาเลเซีย มีการย้ายสวนยางพาราและชาวบ้านใกล้เคียงออกไปด้วยอำนาจการเวนคืน เพื่อนำที่ดินมาสร้างนิคมอุตสาหกรรม เพื่อความเจริญของท้องถิ่น (ประชาชนจะได้มีงานทำที่มีรายได้และฐานะดีมากขึ้น) และประโยชน์ของประเทศโดยรวม
เขาถือว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของกลุ่มชน (ตามแบบฉบับกฎหมายอังกฤษ) ซึ่งอาจจะแตกต่างจากการถือประโยชน์ของปัจเจกบุคคลเป็นที่ตั้ง (ตามแบบฉบับของกฎหมายฝรั่งเศส)
กรณีจำเป็นก็ต้องย้าย โดยประเทศไทยเคยมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเหมือนกัน แต่ปัจจุบันกลับถอยหลังเข้าคลอง เช่น
1. กรณีเหมืองแม่เมาะ ลำปาง มักกล่าวอ้างว่า การย้ายชุมชนจะกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชน แต่การค้นพบว่าบริเวณใต้ที่ตั้ง อ.แม่เมาะเป็นแหล่งถ่านหินขนาดใหญ่ ก็ได้โยกย้ายชาวบ้าน วัด โรงเรียนและอื่นๆ ออกห่างจากพื้นที่เดิมประมาณ 15 กิโลเมตร เพื่อขุดหาถ่านหินมาแล้ว
2. การสร้างท่าเรือคลองเตย ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของเมืองพระประแดงเก่าสมัยอยุธยา และยังมีวัดโบราณ 4 แห่งเมื่อปี 2480 ได้แก่ วัดหน้าพระธาตุ วัดเงิน วัดทองและวัดไก่เตี้ย ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดการสร้างวัดขึ้นใหม่ที่ริมถนนสุขุมวิทชื่อว่า “วัดธาตุทอง” โดยรวมวัดหน้าพระธาตุกับวัดทองเข้าด้วยกัน
ส่วนวัดเงินรวมกับวัดไผ่ล้อมและวัดโชติการาม (วัดพระยาไกร) กลายเป็นวัดไผ่เงินโชตนาราม ในปี 2483
3. การสร้างเขื่อน เช่น เขื่อนเขาแหลม เขื่อนสิริกิติ์ ก็ปรากฏว่ามีชุมชนเดิมอยู่ ทำให้เห็นภาพของวัดจมอยู่ใต้น้ำมาแล้ว กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบ Unseen สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า หากมีความจำเป็นต้องรื้อย้ายชุมชนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ก็ควรดำเนินการ
เอ็นจีโอมักอ้างประชาชน แต่ในหลายกรณีประชาชนเอาด้วย จึงไม่ยอมให้เกิดการพัฒนา เช่น
1. เขื่อนแม่วงก์ ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้สร้างแต่ NGOs กลับบอกว่าเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์ ทั้งที่เป็นชายขอบป่า
2. โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่คาดว่าอาจได้รับผลกระทบเชิงลบ เข้าใจและยินดีให้การไฟฟ้าฯ สร้าง แต่ NGOs ไม่ยอม
3. กระเช้าขึ้นภูกระดึง ประชาชนเกือบทั้งหมด (เกิน 90% ต้องการให้สร้าง) แต่ก็ไม่ได้สร้าง
ถ้ามีความจำเป็นเพื่อชาติ ก็ควรมีการเวนคืนชุมชนท้องถิ่นทั้งหลาย แต่ปัญหาสำคัญของการเวนคืนก็คือการจ่ายค่าทดแทนที่มักจะ “ต่ำ-ช้า” รัฐพึงจ่ายค่าทดแทนให้เป็นธรรม (ทั้งมูลค่าทรัพย์สินที่เสียไป ผลกระทบจากการสูญเสียทรัพย์สินนั้น เป็นต้น) เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย
โชคดีที่จีนไม่ยึดถือ “สิทธิชุมชน” อันจอมปลอม หาไม่ก็คงยังดักดานด้อยพัฒนาต่อไป.
คอลัมน์ อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
www.area.co.th