พิษดอกเบี้ยหนี้ครัวเรือนพุ่ง อสังหาฯ ไตรมาสแรกดัชนีเชื่อมั่นวูบ
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ชี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนพุ่งกว่า 90% ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ - ปริมณฑลไตรมาสแรกปี 2567 วูบ
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 39.2 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 (QoQ) ที่มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 44.5 และเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความเชื่อมั่นในระดับเกณฑ์ต่ำ อาจจะเป็นผลมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นตลอดปี 2566 และยังคงตัวในระดับสูงในไตรมาสนี้
ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยโดยตรง รวมทั้งอยู่ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย อีกทั้งหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับเกินว่าร้อยละ 90 ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไม่มีความพร้อมทางการเงิน ส่งผลให้มีความกังวลต่อการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพราะเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธสินเชื่อ และยังได้สอดคล้องกับข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่มีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงร้อยละ -24.0 และมีมูลค่าลดลงร้อยละ -25.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จะเห็นว่าความเชื่อมั่น และความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลงมากในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูล ยังได้ศึกษาถึงกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจในมิติต่างๆ ดังนี้ลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 53.1 และส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 25-34 ปีหรือเป็นคนกลุ่ม Gen Y และ Gen Z มากที่สุดร้อยละ 51.9
ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าคิดเป็นร้อยละ 72.2 ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6 มีอาชีพเป็นพนักงานเอกชน และส่วนใหญ่ร้อยละ 36.3 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในช่วง 15,001 – 30,000 บาท ทั้งนี้ ลักษณะทางประชากรศาสตร์ในภาพรวมมีความใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งด้าน เพศ ช่วงอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน
ด้านวัตถุประสงค์ในการซื้อที่อยู่ใหม่ พบว่า ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ร้อยละ 32.6 ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อันดับสอง คือ ต้องการซื้อเพื่อลงทุนเก็งกำไร/ให้เช่าร้อยละ 18.4 และอันดับสาม ซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สินร้อยละ 14.9 จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ที่ซื้อเพื่อลงทุน และเป็นทรัพย์สิน มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 33.3
แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญกับการลงทุน สะสมความมั่งคั่ง และสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และหากเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเลือกพิจารณาที่มีสัดส่วนมากขึ้นคือ ต้องการซื้อเพื่อลงทุนเก็งกำไร/ให้เช่า และต้องการแยกครอบครัว/แต่งงาน โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18.4 และ 9.6 จากร้อยละ 12.4 และ ร้อยละ 7.5 ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาลักษณะความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า
1. ด้านประเภททรัพย์ ส่วนใหญ่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งหรือมือสองร้อยละ 52.8 และหากพิจารณาเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่าผู้ที่ต้องการเฉพาะที่อยู่อาศัยมือหนึ่งเท่านั้นมีสัดส่วนเป็น
ร้อยละ 38.9 ลดลงจากร้อยละ 41.5 ในขณะที่ผู้ที่ต้องการเฉพาะที่อยู่อาศัยมือสองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8.2 จากร้อยละ 6.9 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความสนใจบ้านมือสองมากขึ้น
2. ช่วงราคาของที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.2 รองลงมาได้แก่ ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.8 ซึ่งทั้งสองช่วงระดับราคาดังกล่าวเป็นกลุ่มหลัก มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 51.0 และพบว่าผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาสูงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 (QoQ) โดยมีข้อสังเกตได้จากผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 10.01 – 15.00 ล้านบาท และ 15.01 – 20.00 ล้านบาท มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 4.0 และ ร้อยละ 4.9 จากร้อยละ 1.1 และ 0.3 ตามลำดับ
3. ประเภทที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ต้องการซื้อบ้านเดี่ยว ร้อยละ 39.3 และต้องการซื้อในระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาทมากที่สุด รองลงมาคือ คอนโดมิเนียมร้อยละ 34.9 โดยต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาทมากที่สุด
สำหรับทาวน์เฮ้าส์มีความต้องการซื้อร้อยละ 20.0 และส่วนใหญ่ต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาท มากที่สุด ส่วนบ้านแฝดมีความต้องการซื้อร้อยละ 5.5 และส่วนใหญ่ต้องการซื้อในระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาทมากที่สุด และอาคารพาณิชย์มีความต้องการซื้อร้อยละ 0.3 และต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด
และหากพิจารณาเทียบกับอายุของผู้ตอบพบว่า กลุ่มผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 18 - 44 ปี มีความสนใจซื้อบ้านเดี่ยวมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 45 - 54 ปี และ 55 ปีขึ้นไป มีความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมมากที่สุด ซึ่งอาจเกิดจากความต้องการซื้อเพื่อลงทุน และเก็งกำไรเนื่องจากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแล้ว
4. จังหวัดที่มีความสนใจจะซื้อที่อยู่อาศัย เมื่อพิจารณาจังหวัดที่มีความสนใจจะซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุด 10 อันดับแรก ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม ชลบุรี สมุทรสาคร เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ โดยพบว่าส่วนใหญ่มีความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สูงถึงร้อยละ 48.1 โดยเฉพาะทำเลตามแนวรถไฟฟ้าสายหลัก ใกล้แหล่งงานหรือแหล่งชุมชน เช่น ทำเลพระราม 9 บางนา บางแค ลาดพร้าว และห้วยขวาง ทั้งนี้ จังหวัดในอันดับที่ 2-10 มีสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ 1.4 ถึง 10.6 ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ มีความต้องการซื้อรวมเพียงร้อยละ 6.6
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์