เช็ก สูตรฉีดวัคซีนเด็ก "เปิดเรียน" On-Site ปลอดภัย อยู่ได้กับโควิด-19

เช็ก สูตรฉีดวัคซีนเด็ก "เปิดเรียน" On-Site ปลอดภัย อยู่ได้กับโควิด-19

การเปิดเรียน "On-Site" ในภาคเรียนที่ 1/2565 ทางกระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เตรียมความพร้อมไม่ว่าจะเป็นการประเมินสถานศึกษา เตรียมแผนเผชิญเหตุ และสิ่งสำคัญ คือ การเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็ก 5-17 ปีเพื่อให้เปิดเรียนอย่างปลอดภัย อยู่ได้กับโควิด-19

ขณะนี้ เริ่มมีการเตรียมพร้อมเพื่อ "เปิดเรียน" On-Site ในภาคเรียนที่ 1/2565 โดย กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ปรับเปลี่ยนมาตรการการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อการเรียนรู้ที่ดีในโรงเรียนของเด็กไทยต่อไป

โดยเน้นย้ำตามมาตรการต่อไปนี้

1.เร่งรัดการฉีดวัคซีน เพื่อให้นักเรียนได้รับวัคซีนตามความสมัครใจให้ครอบคลุม

2.สถานศึกษาต้องเข้ารับการประเมิน Thai Stop COVID Plus โดยต้องผ่านการประเมินมากกว่า 95 % ส่วนการตรวจATK ที่เดิมให้ตรวจทุกราย แต่จากการหารือร่วมกับราชวิทยาลัยและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง โดยการตรวจเฝ้าระวังให้ดำเนินการเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการเท่านั้น  เพราะกรณีที่มีฉีดวัคซีนครบและไม่มีอาการ การตรวจATKอาจผิดพลาดได้ 

3. เน้นย้ำการทำตามแผนเผชิญเหตุ เมื่อเจอผู้ติดเชื้อ หรือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ไม่ดำเนินการปิดชั้นเรียนหรือโรงเรียน เป้าประสงค์นักเรียนควรได้รับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ที่โรงเรียน และ4.เน้นย้ำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดให้ปฏิบัติตามมาตรการ โดยมอบหมายให้ศูนย์อนามัยในเขตสุขภาพเป็นพี่เลี้ยง 

สูตรการฉีด "วัคซีนโควิด-19" เด็ก 5-17 ปี

ทั้งนี้ จะเห็นว่า หนึ่งในมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขได้เน้นย้ำ คือ การฉีด วัคซีนโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กก่อนเปิดเรียน ให้ปลอดภัย อยู่ได้กับโควิด-19

ข้อมูลจาก ศบค. วันที่ 7 พ.ค. 65

- กลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี เป้าหมาย 5,150,082 ราย

  • ฉีดวัคซีนเข็ม 1 สะสม 53.9%
  • ฉีดวัคซีนเข็ม 2 สะสม 15.5% 

ข้อมูล ณ วันที่ 3 พ.ค. 2565
- กลุ่มอายุ 12-17 ปี ผลการฉีดวัคซีนโควิด-19 กลุ่มเป้าหมายอายุ จำนวนเป้าหมาย 4.7 ล้านคน จากฐานข้อมูล MOPH IC

  • ฉีดเข็มที่ 1 แล้ว 3.6 ล้านคน คิดเป็น 77.2 %
  • ฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 3.5 ล้านคน คิดเป็น 75.5 %
  • ฉีดเข็มที่ 3 แล้ว 2.4 แสนคน คิดเป็น 5.2%  

 

สูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็ก ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน คือ

- สูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็กอายุ 5-6 ปี 

  • เข็ม 1 ไฟเซอร์ 
  • เข็ม 2 ไฟเซอร์ ห่างกัน  8 สัปดาห์
  • เข็ม 3 ยังไม่มีกำหนด

 

- สูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็กอายุ 6-11 ปี 

สูตร 1

  • เข็ม 1 ไฟเซอร์ 
  • เข็ม 2ไฟเซอร์  ห่างกัน  8 สัปดาห์
  • เข็ม 3 ยังไม่มีกำหนด

สูตร 2 

  • เข็ม 1 ซิโนแวค
  • เข็ม 2 ไฟเซอร์  ห่างกัน 4 สัปดาห์
  • เข็ม 3 ยังไม่มีกำหนด

 

- สูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็กอายุ 12-17 ปี 

สูตร 1 

  • เข็ม 1 ไฟเซอร์ 
  • เข็ม 2 ไฟเซอร์ ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ 
  • เข็ม 3 ไฟเซอร์ ห่างกัน 4-6 เดือน เต็มโดส/ครึ่งโดส

สูตร 2

  • เข็ม 1 ซิโนแวค
  • เข็ม 2 ไฟเซอร์ ห่างกัน 4 สัปดาห์
  • เข็ม 3 ไฟเซอร์ ห่างกัน 4-6 เดือน  เต็มโดส

 

- สูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็กอายุ 6-17 ปี

  • เข็ม 1 ซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม 
  • เข็ม 2  ซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ 
  • เข็มที่ 3 ไฟเซอร์ เต็มโดส ตามช่วงอายุ ห่างกัน 4 สัปดาห์

 

เช็ก สูตรฉีดวัคซีนเด็ก \"เปิดเรียน\" On-Site ปลอดภัย อยู่ได้กับโควิด-19

 

กทม. เปิดเรียน "On-Site" เต็มรูปแบบ 100% 

สำหรับ โรงเรียนสังกัด กทม. ซึ่งเตรียม เปิดเรียน On-Site เต็มรูปแบบ 100% ทุกโรงเรียนประเมินมาตรการ 3T1V ในวันที่ 17 พ.ค. นี้ "นายชวินทร์ ศิรินาค" รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ที่ประชุมได้แจ้งแนวทางการเตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียนที่ 1/2565 ของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ซึ่งเป็นการเปิดเรียนแบบ On-Site เต็มรูปแบบ 100% ทุกระดับชั้น โดยจะดำเนินการมาตรการความปลอดภัยของโรงเรียนในสังกัดฯ อย่างเต็มที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ

 

ประเมินตามมาตรการ 3T1V
ทั้งนี้ ทุกโรงเรียนจะต้องมีการประเมินตามมาตรการ 3T1V คือ

T : Thai Stop Covid Plus (TSC+) สถานศึกษาต้องประเมินตนเองเตรียมพร้อมก่อนเปิดเรียน

T : Thai Save Thai (TST) นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษามีการประเมินความเสี่ยงตนเองเป็นประจำ

T : Test ตรวจคัดกรอง เฝ้าระวังอย่างเหมาะสม เช่น ตรวจ ATK เมื่อมีความเสี่ยงหรือมีอาการ

V : Vaccine ครู บุคลากร ผู้ปกครอง และเด็ก อายุ 5-18 ปี ได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามเกณฑ์

 

พร้อมทั้งสำนักงานเขตและโรงเรียนจะมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจ และขอความร่วมมือให้นักเรียน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรุงเทพมหานคร ตลอดจนผู้ปฏิบัติงาน ในโรงเรียนให้ปฏิบัติตามข้อกำหนด 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) และแนวทาง 7 มาตรการเข้ม ทั้งนี้หากผู้ปกครองไม่ประสงค์ให้นักเรียนเรียนในรูปแบบ On Site อนุญาตให้เรียนในรูปแบบ 4 ON ได้

 

มาตรการเปิดเรียน On-Site

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 65 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย  อธิบดีกรมอนามัย เผยว่า สำหรับมาตรการเปิดเรียน On-Site อยู่ได้กับโควิด19 

- กรณีโรงเรียนประจำ

เน้นมาตรการ Sandbox Safety zone in School  ดังนี้

1.หากนักเรียน รู หรือบุคลากรเป็นผู้ติดเชื้อ ให้หารือหน่วยบริการสาธารณสุขในการแยกกักตัวในโรงเรียนกรณีไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ให้จัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสม เว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร งดร่วมกลุ่ม

 2.กรณีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงให้จัดควอรันทีนโซน จัดการเรียนการสอนในนั้นเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นให้สังเกตอาการอีก 5 วัน อย่างไรก็ตามกรณีได้รับวัคซีนครบตามกำหนดและไม่มีอาการไม่แนะนำให้กักตัว และตรวจ ATK ในวันที่ 5 และ 10 และ3.กรณีเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ให้เปิดเรียนปกติ โดยป้องกันตนเองครอบจักรวาล ประเมิน Thai Save Thai (TST) เว้นระยะห่างในห้องอย่างน้อย 1 เมตร

 

- กรณีโรงเรียนไป-กลับ

1. กรณีนักเรียน ครู หรือบุคลากร ติดเชื้อ ให้แยกกักตัวที่บ้าน หรือพิจารณากักตัวที่โรงเรียน โดยคณะกรรมการสถานศึกษาและหน่วยงานสาธารณสุข และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กรณีเป็นผู้ติดเชื้อมีอาการให้พิจารณาจัดรูปแบบการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีอาการ  และทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน สถานศึกษา และเปิดเรียนตามปกติ 

2.กรณีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหากยังไม่ได้รับวัดซีน ไม่มีอาการ แนะนำให้กักตัวเองเป็นเวลา 5 วันและติดตามหลังจากนั้นอีก 5 วัน กรณีได้รับวัคซีนครบและไม่มีอาการไม่ต้องกักตัว ให้เรียนได้โดยให้ตรวจ ATK วันที่ 1 , 5 และ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ สถานศึกษาจัดให้เรียนตามความเหมาะสม เว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร และ3.กรณีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ให้เรียนตามปกติ ป้องกันตนเองครอบจักรวาล ประเมิน TST เว้นระยะห่างในห้องอย่างน้อย 1 เมตร

 

จัดห้องเรียนอย่างไร

นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวว่า  โรงเรียนทั่วประเทศมีกว่า  35,000 แห่ง เป็นร.ร.รัฐสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 29,200 แห่ง เอกชน 4,100 แห่ง และอื่นๆ เช่น อปท. มหาดไทย(มท.) อีกราว 1,800 แห่ง 

 

โดยกว่า 90 % จะเปิดเรียนในวันที่  17 พ.ค. 2565  โดยทุกสถานศึกษามีการเตรียมความพร้อม โดยสิ่งที่แตกต่างระหว่างภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 กับภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 คือ การเว้นระยะห่าง ในห้องเรียน จะเหลือ 1 เมตร จาก 1.5 เมตร

 

เพราะฉะนั้น ห้องเรียนปกติที่มีขนาด 8 X 8 เมตร สามารถจัดโต๊ะเรียนได้ 7 แถว ๆ ละ 6 ที่นั่ง รวม 42 คน ซึ่งโดยปกติ 1 ห้องเรียนจะมีนักเรีนนประมาณ 40 คน ไม่มีปัญหาในเรื่องการเว้นระยะห่าง แต่อาจจะมีปัญหาในโรงเรียนประถมศึกษาบางแห่งเท่านั้น ที่เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ บางห้องอาจจะมีขนาด 6 X 8 เมตร

 

สิ่งสุดท้ายที่มีความแตกต่าง คือ บางโรงเรียนเป็นการเรียนในห้องปรับอากาศ ต้องมีการเปิดระบายอากาศ ทุก 2 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 นาที ในช่วงพัก สำหรับโอกาสติดเชื้อและแพร่เชื้อในโรงเรียน คือ การถอดหน้ากาก กินข้าวร่วมกัน สนทนาระหว่างกันโดยไม่สวมหน้ากาก ดังนั้น ในโรงอาหารควรมีการแยกสำรับกับข้าว แยกพื้นที่ งดการพูดคุย ขณะกินอาหาร และเมื่อมีการเล่นร่วมกัน ควรสวมหน้ากากตลอดเวลา