ทั่วโลกมี "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" 54 ล้านตันต่อปี กำจัดอย่างไรให้ถูกวิธี
โครงการจุฬาฯ รักษ์โลก ร่วมกับ บริษัท Total Environmental Solutions จำกัด รับบริจาค "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" ส่งต่อ "รีไซเคลิ" อย่างถูกต้อง เผยทั่วโลกมี ขยะอิเล็กทรอนิกส์ 53.6 – 54 ล้านตันต่อปี มีเพียง 18 % เท่านั้นที่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง
ปัจจุบันมีกฎหมายหลายฉบับที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายของ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีความพยายามจากหลายภาคส่วนเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตจนถึงการกำจัด ซึ่งการบริจาคโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ใช้แล้วเพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล
รศ.ดร.สุธา ขาวเธียร ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย จุฬาฯ เปิดเผยว่า โครงการจุฬาฯ รักษ์โลก ร่วมกับบริษัท Total Environmental Solutions จำกัด ได้เปิดรับบริจาคโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริมเพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี ดำเนินการมา 12 ปีแล้ว เป็นตัวอย่างการดำเนินการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกต้อง
โดยศูนย์ความเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชนและหน่วยงานที่สนใจ ส่งต่อให้บริษัทรับกำจัดและดำเนินการรีไซเคลิอย่างถูกต้อง เป็นการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถูกวิธี โดยการบริจาคโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต 1 เครื่อง จะเปลี่ยนเป็นเงิน 10 บาท บริจาคเข้ากองทุนภูมิคุ้นกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อสนับสนุน การวิจัยด้านการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้นกัน
รศ.ดร.สุธา กล่าวว่าระยะ 2- 3 ปีที่ผ่านมา ประชาชนเริ่มให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ประกอบกับปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการบริจาคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานให้เป็นกิจกรรมที่ใหญ่ขึ้น มีการรวบรวมโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปริมาณมากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนในการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เกิดประโยชน์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
ทั่วโลกมี ขยะอิเล็กทรอนิกส์ 53.6 – 54 ล้านตันต่อปี
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ทั่วโลกมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ 53.6 – 54 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้มีประมาณ 18 % เท่านั้นที่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ส่วนในประเทศไทย ก็มีปัญหาคล้ายๆ กับในระดับโลก คือมีของเสียอันตรายชุมชน ประกอบด้วย ขยะอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรรี่ ถ่านไฟฉาย ภาชนะบรรจุสารเคมี กระป๋องสเปร์ยต่างๆ เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉลี่ยประมาณ 4 แสนตันต่อปี และมีการกำจัดด้วยวิธีที่ถูกต้องเพียงแค่ร้อยละ 20
ส่วนหนึ่งเกิดการใช้ชีวิตที่มีแนวโน้มการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระยะเวลาที่สั้นลง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 พบว่า มีการเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ปริมาณ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ มากขึ้น
จัดการไม่ถูกต้อง กระทบสิ่งแวดล้อม
“การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่ถูกต้องส่งผลกระทบ 2 ด้าน คือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์มีโลหะชนิดต่างๆ เป็นองค์ประกอบมีโอกาสที่จะปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เนื่องจากตัวโลหะต่างๆ ที่อยู่ในขยะอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่า สามารถนำกลับมาใช้ในกระบวนการผลิตต่อไปได้ หากได้รับการจัดการหรือผ่านกระบวนการรีไซเคิลที่ถูกวิธี” รศ.ดร.สุธา กล่าว
ในปีที่ผ่านมาได้มีการสำรวจประชาชน 2,000 คน พบว่า ขยะชิ้นเล็ก เช่น โทรศัพท์มือถือเมื่อเลิกใช้แล้วเป็นขยะ ส่วนหนึ่งก็จะถูกทิ้งไป แต่มีจำนวนมากถึงร้อยละ 35 – 40 ที่เก็บโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช้แล้วไว้ในบ้าน ส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อหมดอายุก็จะขายไป ยังมีประมาณร้อยละ 15- 20 ที่เก็บไว้ที่บ้าน เมื่อเวลาผ่านไปก็จะทิ้งปะปนไปกับขยะทั่วไป นำไปสู่เส้นทางของการกำจัดขยะที่ไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้ ประชาชนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในเรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ เริ่มต้นจากการคัดแยกขยะ มีการจัดการขยะอย่างถูกต้อง โดยสามารถนำโทรศัพท์มือถือและซากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ใช้แล้ว ส่งมาที่โครงการจุฬาฯ รักษ์โลกได้