ผลตรวจเป็นลบ! แฟนสาวหนุ่มเยอรมันป่วย "ฝีดาษลิง" รายที่ 3 สังเกตอาการ 21 วัน
สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เผยผลตรวจแฟนสาวและครอบครัว 7 ชีวิต "เป็นลบ" หลังใกล้ชิดหนุ่มเยอรมันติดเชื้อ "ฝีดาษลิง" รายที่ 3 ของไทย สั่งเฝ้าสังเกตอาการ 21 วัน
กรณีพบผู้ติดเชื้อ "ฝีดาษลิง" รายที่ 3 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนุ่มชาวเยอรมัน อายุ 25 ปี ล่าสุดนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เผยผลตรวจแฟนสาว และครอบครัว 7 ชีวิต "เป็นลบ" หลังใกล้ชิดหนุ่มเยอรมันที่ติดเชื้อ พร้อมสั่งเฝ้าสังเกตอาการ 21 วัน
วันนี้(4 สิงหาคม 2565) นายแพทย์กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยถึงผลการตรวจหาเชื้อของแฟนสาว ชายเยอรมนีที่ป่วย "ฝีดาษลิง" รายที่ 2 ของจังหวัดภูเก็ต และนับเป็นรายที่ 3 ของประเทศไทย พบว่ามีผล "เป็นลบ" แต่ยังต้องเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลา 21 วัน เช่นเดียวกับคนในครอบครัวอีก 6 คน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเฝ้าสังเกตอาการ ขณะที่หนุ่มเยอรมันนั้นอาการไม่รุนแรง และยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
เอกชนมั่นใจไม่กระทบท่องเที่ยว หลังพบผู้ป่วย "ฝีดาษลิง" รายที่ 2 ในจังหวัดภูเก็ต
ภายหลังจาก "สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต" ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ "ฝีดาษลิง" รายที่ 2 ของจังหวัดภูเก็ต และเป็นรายที่ 3 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนุ่มเยอรมนี อายุ 25 ปี ที่เดินทางมาท่องเที่ยวบ้านแฟนสาวชาวไทยที่ภูเก็ต ขณะที่แฟนสาวและครอบครัวรวม 7 คน เจ้าหน้าที่เผยผลตรวจยืนยันเป็นลบ แต่ยังต้องสังเกตอาการให้ครบ 21 วัน
ล่าสุด ภาคเอกชนและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ได้ออกมายืนยันและสร้างความมั่นใจโดยเชื่อว่าไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวภูเก็ตแต่อย่างใด
นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า จากการที่จังหวัดภูเก็ตพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิง ขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบด้านการท่องเที่ยว ขอให้ประชาชนศึกษาทำความเข้าใจของโรคว่ามันไม่ได้ติดกันง่าย ๆ ซึ่งเราสามารถป้องกันฝีดาษลิงได้โดยสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้บ่อย เลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปาก ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น ไม่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยฝีดาษลิง
พร้อมทั้งฝากไปถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มคนไทยและประชาชน ยังคงสามารถเดินทางท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตได้ตามปกติโดยไม่ต้องกังวล เนื่องจากยังมั่นใจในระบบสาธารณสุขในพื้นที่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ฝากไปยังประชาชนด้วยว่าอย่าตื่นตระหนก เพราะเชื้อดังกล่าวไม่ได้ติดกันง่าย ๆ และหากเป็นแล้วสามารถหายได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ รวมทั้งขอให้ติดตามข่าวสารที่ถูกต้องจากทางราชการ และขอให้มั่นใจในระบบคัดกรองที่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หรือผู้ที่เข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลต่าง ๆ ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน