'ศีล 5' บันไดของพุทธบริษัท
เรียนรู้และเข้าใจ "แก่นแท้" ของ "ศีล 5" หลักธรรมพื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนได้รับการปลูกฝังให้ยึดถือปฏิบัติเป็นหลักของชีวิต
เรียนรู้และเข้าใจ "แก่นแท้" ของ "ศีล 5" หลักธรรมพื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนได้รับการปลูกฝังให้ยึดถือปฏิบัติเป็นหลักของชีวิต แต่จะมีกี่คนที่เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการรักษาศีล ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างไร จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องรักษา หรือเป็นเพียงแค่การทำตามๆ กันมา
เดือนเมษายน อันเป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ และมีวันหยุดสงกรานต์ เป็นวันครอบครัวที่ผ่านมา บนท้องถนนมีผู้คนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกันมากมายกว่าสงครามในบางประเทศ อีกทั้งเหล้าเบียร์ก็เต็มริมฟุตบาทสองฟากถนน ผู้คนก็นุ่งน้อยห่มน้อยออกมาเต้นแร้งเต้นกาสาดน้ำกัน
"กรุงเทพธุรกิจ" นิมนต์ พระราชญาณวิสุทธิโสภณ (หลวงปู่ท่อน ญาณธโร) เจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน บ้านหนองมะผาง จ.เลย และเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต) ให้โอวาทธรรมพื้นฐานสำหรับครอบครัวในยุคสมัยนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิตวันนี้และวันหน้า ดังที่พระพุทธองค์ท่านมอบปัจฉิมโอวาทไว้ก่อนที่จะปรินิพพาน
หลวงปู่ท่อนท่านกล่าวว่า ศีล 5 เป็นหน้าที่ของโยม เณรก็ศีล 10 ศีลของพระก็ 227 ข้อ ศีล 5 คือบันไดขั้นต้นของพุทธบริษัททั้งหลายเป็นพื้น การปฏิบัติศีล 5 ไม่ยากอะไรหรอก แต่ว่ากิเลสเราเท่านั้นแหละจะไม่พอใจ
'ศีล 5 อย่าทำกันเล่นๆ'
ศีลข้อหนึ่งก็คือ ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการฆ่าสัตว์ทุกชนิด ไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์ แล้วก็ข้อสอง อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการลักทรัพย์ เรียกว่า ทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว ไม่มีความยินดีเลย ของที่เขาลืมไว้ที่นี่ก็ไม่เสียหาย หรือลืมไว้ที่ไหนก็ไม่เสียหาย
ข้อสาม กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการล่วงประเวณีในสามี ภรรยา บุตร ธิดา ของคนอื่น ข้อสี่ มุสาวาทาเวรมณี เว้นจากการกล่าวเท็จ เว้นจากการกล่าวคำไม่จริง อะไรที่ไม่จริงอย่าเอามากล่าวตีแผ่ออกไปให้คนเชื่อ ทำให้คนเชื่อหลอกลวงกันโดยตรงและโดยอ้อม อยากให้เขาเชื่อเรื่องตัวเองก็ปั้นเรื่องขึ้นมาก็เป็นมุสาวาท
ข้อที่ห้า สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มกินสุราและเมรัย อันเป็นเครื่องดองของเมาทั้งหลาย รวมไปถึงยาเสพติดให้โทษทุกชนิด ข้อนี้กินความกว้างไปถึงสังคมมนุษย์ ถ้าประพฤตินอกลู่นอกทาง ก็ผิดจรรยาบรรณของสังคม ไม่ดีเลย
"อย่างเราไปหลอกกันว่า เสือมา ผีมา ตรงนั้นตรงนี้ มันไม่ควร ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีอะไรมารบกวนเราได้ พ่อแม่ ลูก ไปหลอกกันให้เข้าใจผิด อะไรไม่ดีไม่งาม นอกลู่นอกทางออกไปเรียกว่า ผิดจรรยาบรรณของผู้ถือศีล 5 ไม่ให้มี โกหกพกลม ก็ล้วนอยู่ในศีล ขายของก็อย่าไปหลอกลวง ราคานั้นราคานี้ อย่าไปโก่งราคา อย่าไปโกหก ราคามันแน่นอน จะต่อรองกันเพราะเงินไม่พอก็ผ่อนสั้นผ่อนยาวกันได้ อยู่กันมาพากันใหญ่ อยู่ด้วยความเมตตาอารีรอบซึ่งกันและกัน เอาใจใส่ช่วยกันดูแล รักษากัน ผิดนิดเบาหน่อย ก็ให้อภัยแก่กัน อย่างนี้ก็ดีกันอยู่ ตรงไปตรงมาจะเสียหายอะไร อะไรไม่มีก็ว่าไม่มี อะไรมีก็ว่ามีอยู่"
ดังที่หลวงปู่ท่อนแสดงธรรมเรื่อง จิตพุทธะ ที่กล่าวถึงศีล 5 อย่างมีนัยสำคัญว่า ขอให้เรามีเจตนาแนวแน่ในการเลิกฆ่าสัตว์ เลิกลักทรัพย์ เลิกประพฤติผิดในกาม เลิกพูดปด เลิกดื่มสุราเมรัย รวมไปถึงยาเสพติดให้โทษทุกชนิด เพราะมันผิดกฎหมาย ผิดทั้งศีลธรรม แต่ก็เห็นคนฝ่าฝืนกันเยอะ นี่แหละอย่าทำกันเล่นๆ ทำเล่นๆ ขี้กลากจะกินหัว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของเลิศในโลก ไม่ใช่ของหยอกเล่น
หลวงปู่ท่อนให้ข้อคิดแรกเลยว่า การที่จิตจะเข้าถึงพุทธะได้นั้น จะต้องเริ่มต้นและลงท้ายด้วยการมีรั้วของใจก่อนคือ ศีล 5
"อาตมาเห็นในสังคมไทยนั้น ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ก็ไปฆ่าสัตว์ ห้ามไม่ให้ลักขโมย ก็มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน ห้ามไม่ให้พูดปด พูดเท็น แม้แต่ขึ้นศาล ขึ้นโรงก็ยังกล่าวปดกัน ไม่มีความผิดก็หาเรื่องผิดให้เห็นๆ ดังนั้น เรื่องสมาทานศีล เรามีเจตนาเต็มเปี่ยมหรือเปล่า ถ้าเราขอสมาทานศีล 3 ครั้งแล้วโกหกทั้งสามครั้งจะได้อะไร อะไรจะเข้าไปติดในหัวใจเล่า"
'อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วมาทำบุญ'
ศีลนี้ลึกซึ้งนัก และศีลที่บริสุทธิ์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นบาทฐานแรกในการภาวนา เพื่อให้เกิดความเมตตา กรุณากับตนเอง และผู้อื่นก่อนไปถึงขั้นสมาธิภาวนา เพื่อให้เกิดวิปัสสนาปัญญาในการรู้เห็นตามความเป็นจริง
ท่านกล่าวอย่างจริงจังว่า ดังนั้น อย่าไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขามาทำบุญเลย ชีวิตเขาก็เหมือชีวิตเรา ใครๆ ก็รักชีวิต ไก่ตัวนั้น ปลาตัวนั้น เป็ดตัวนั้น วัวตัวนั้น เขาเต็มใจมานอนแหมะให้จัดการเลยไหม มีแต่เขาต่อสู้อย่างทุลักทุเล แทบล้มแทบตาย เอาขึ้นไปบนรถ แล้วกระโดดลงจากรถก็มี ไม่อยากตาย
"อย่างนี้แสดงว่า เขาไม่ยินดีที่จะทำบุญด้วย มันจะดิ้นทุรนทุราย ต่อสู้ มันไม่พอใจ สิ่งใดไม่พอใจสิ่งนั้นเรียกว่าข่มเหง รังแก เบียดเบียนเต็มร้อย แล้วบุญมันจะได้ที่ไหน จะทำบุญทั้งทีให้มันเต็มร้อย ให้เจตนาของเรามันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำบุญแล้วให้ชุ่มฉ่ำอยู่ในดวงจิต นึกถึงเวลาใดก็ปลื้มปีติในเวลานั้น"
แม้กระทั่งเวลาที่พบเห็นอุบัติเหตุมีคนเจ็บ คนเสียชีวิต ท่านกล่าวว่า คนชอบดู แต่ขอเถอะ พี่น้องเอ๋ย ถ้าจะไปดูก็ขอให้แผ่เมตตาไปด้วย
"มองไปจนให้เห็นว่า ถ้าเป็นเราก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน และปลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ได้ อย่าไปหน้านิ่วคิ้วขมวด อย่าไปบ่นว่าซ้ำเติมกัน ไม่มีใครช่วยเก็บศพ ถ้าเราอยู่ตรงนั้น เข้าไปช่วยเลยก็ได้ ช่วยยกแขน ยกขา ให้เป็นที่เป็นทาง รักษาใจให้บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง แล้วช่วยเขา ถ้าเขายังไม่ตายก็เข้าไปช่วยเขา
เรียกว่ายังมีน้ำใจ ยังมีเมตตา เป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แผ่เมตตาให้เขา จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้ทุกข์กายทุกข์ใจเลย รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ อย่าไปทำท่ารังเกียจเขา เทวดาจะหัวเราะเยาะเอาว่า นี่หรือ มนุษย์ ไม่เมตตากันเลย รังเกียจกันถึงขนาดนี้เลยหรือมนุษย์เอ๋ย ถ้าจิตใจเป็นอย่างนี้จะไปได้ไหม สวรรค์ นิพพาน"
ท่านได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดนี้ อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ซึ้งใจมาก
"อะไรที่เราจะช่วยกันได้ ให้ดูแลให้แลกันอย่าทอดทิ้ง เห็นคนทุกข์อย่านิ่งดูดาย ถ้าเราช่วยเขาได้ก็ช่วยซะ หัวใจเราจะบานออกใหญ่โต เวลาทำอะไรให้มีเจตนาหวังดีต่อกัน ให้เขามีความสุข เราก็จะสุขด้วย ความเหนียวแน่น ตระหนี่ถี่เหนียว มันเป็นอุปสรรคขัดขวางใจเรา สัตว์เดรัจฉาน มีแต่แย่งกัน เป็นมนุษย์ต้องแบ่งปันกัน น้ำใจอย่างนี้เรียกว่า น้ำใจเทวดา เป็นมนุษย์ ใจสูง อย่าใจดำ คนทำลายทรัพยากรแผ่นดิน ไม่เห็นอกเห็นใจกันเลย เราต้องทำใจเราให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์คือให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากันทั่วทุกคน จงนำไปใคร่ครวญ พิจารณาด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนเทอญ"
และนี่คือบาทฐานแรกของความสุขในชีวิตส่วนตนและครอบครัวเล็กๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นสังคมใหญ่ เป็นประเทศ และเป็นโลกใบนี้ ส่วนเล็กๆ อันประกอบเป็นภาพใหญ่จะมีความสันติหรือไม่ ก็เริ่มต้นกันที่บันไดขั้นแรกนี้เป็นหลักสากลนี้เอง