หยุดวิกฤตขยะทะเลไทย 'ยูเอ็น' ผนึกเอกชนสร้างจิตสำนึกนักท่องเที่ยว
กรมควบคุมมลพิษ เผยปี 2560 พบปัญหาขยะมูลฝอยบริเวณชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด ทะลุ 11.47 ล้านตัน เป็นขยะพลาสติก 340,000 ตัน โดย 10-15% มีโอกาสปนเปื้อนลงสู่ทะเล
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2561 ไมเคิล บอทท์ ผู้แทนด้านการค้า การลงทุน และนวัตกรรม คณะกรรมธิการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก องค์การสหประชาชาติ (UN ESCAP) กล่าวในงานเสวนา หนทางอนุรักษ์ทะเลไทย ให้พ้นวิกฤต “ขยะ” เพื่อการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน Up-Cycling and Circular Economy ว่า จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษปี 2560 มีขยะมูลฝอยในจังหวัดชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด มากถึง 11.47 ล้านตัน เป็นขยะพลาสติกประมาณ 340,000 ตัน โดยกว่า 10-15% มีโอกาสปนเปื้อนลงสู่ทะเลได้ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับขนาดของประเทศและระดับของการพัฒนาประเทศ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณพลาสติกเพิ่มขึ้น เกิดจากคนไทยใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ยกว่า 8 ใบต่อวันต่อคน ซึ่งพลาสติกเหล่านี้มีโอกาสที่จะไหลลงสู่ท้องทะเลได้
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพรมแดนติดกับ 2 มหาสมุทร ได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ประเทศไทยมีปริมาณพลาสติก น้ำเสีย และขยะในรูปแบบอื่นๆ ที่ไหลลงสู่ทะเลมากเป็นอันดับ 6 ของประเทศและมีส่วนก่อให้เกิดขยะพลาสติกในมหาสมุทรมากที่สุดของโลก
“จากปัญหาดังกล่าว ยูเอ็น จึงร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำของไทยกว่า 20 องค์กร เดินหน้าโครงการ Sustainable Ocean Ambassador ช่วยตรวจสอบย้อนกลับขยะในทะเล จัดทำบันทึก และเก็บกู้ โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร และทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (SDG 8.9) รวมถึงการดำเนินงาน ภายใต้แนวทางเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG 12) ผลิต และบริโภคอย่างยั่งยืน และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG 14) การใช้ทรัพยากรทะเลอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกร่วมกับอีก 193 ประเทศทั่วโลก” ไมเคิล กล่าว
ด้าน นิวัช รุ่งเรืองกนกกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง กลุ่ม Skin Dive Thailand และผู้บริหาร บริษัท ไดฟ์ ดี ดี จำกัด ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการโรงเรียนสอนดำน้ำ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกว่า 20 องค์กร ซึ่งร่วมเดินหน้าฟื้นฟูชายฝั่งไทย เปิดเผยว่า การเข้าร่วมในโครงการ Sustainable Ocean Ambassador ครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทาง และสื่อกลาง ให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตะหนักในการมีส่วนร่วมและสร้างเครือข่ายอนุรักษ์มหาสมุทรไทย โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับการอบรมการดำน้ำในระยะเวลา 8 ชั่วโมง แบ่งเป็น การอบรมในสระ 2 วัน และฝึกทักษะในทะเล 1 วัน และร่วมกิจกรรมอนุรักษ์ท้องทะเล อาทิ Trash to Treasure, Ocean Waste Mapping การสำรวจขยะที่พบในชายหาดและใน, กิจกรรมคัดแยก แปรรูป เพื่อสร้าง มูลค่า และกิจกรรมสื่อสารการจัดการขยะ และมลพิษในทะเล เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชนในช่องทางต่างๆ อาทิ โซเชียลมีเดีย ต่อไป
ด้าน เผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ เลขานุการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยามได้เดินหน้าอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการฟื้นฟูแนวปะการัง รวมไปถึงการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายาก เช่น เต่ากระ (Hawksbill sea turtle) ซึ่งได้มีการพบว่ามาวางไข่ในปี 2552 บริเวณชายหาดทางตอนใต้ของเกาะทะลุ จากที่ไม่เคยพบเห็นมากว่า 20 ปีก่อนหน้านี้ นำมาซึ่งการเปิดศูนย์อนุรักษ์ฟื้นฟูเต่าทะเล ซึ่งจากการดำเนินงานมากว่า 8 ปี พบแม่เต่ามาวางไข่แล้ว 10 ตัว มีลูกเต่าผ่านการเพาะฟักเป็นเวลา 9 เดือนให้มีขนาด 20-25 เซนติเมตร ถูกปล่อยลงสู่ทะเลแล้วกว่า 5,000 ตัว
“ตอนนี้ยังไม่สายที่จะร่วมกันเริ่มต้นอนุรักษ์ และหนทางที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่าไม่ใช่เลย แต่ควรใช้ให้เหมาะสม” เผ่าพิพัธ กล่าวทิ้งท้าย