ม.มหิดล สร้าง “แพทย์นวัตกร” ตรงใจคนรุ่นใหม่
ม.มหิดล เปิดหลักสูตรร่วม แพทย์ - วิศวะ (พ.บ. - วศ. ม.) ครั้งแรกในประเทศไทย สร้าง ”แพทย์นวัตกร” สายพันธุ์ใหม่ เรียน 7 ปี ได้ 2 ปริญญา ทั้ง ป.ตรี และ ป.โท เปิดรับรุ่นแรก 20 คน
จากแนวโน้มการนำดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพทย์จึงจำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง นำมาซึ่งการเปิดหลักสูตรร่วมระหว่าง แพทย์ ม.มหิดล - วิศวะ ม.มหิดล ครั้งแรกในประเทศไทย สร้าง ”แพทย์นวัตกร” สายพันธุ์ใหม่ เรียน 7 ปี ได้ 2 ปริญญา ตรีควบปริญญาโท
ล่าสุด คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล ได้ลงนามความร่วมมือกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล เปิดโครงการร่วม “หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต - วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์” (พ.บ. - วศ. ม.) ณ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล มุ่งสร้าง “แพทย์นวัตกร” ครั้งแรกในประเทศไทย ตอบโจทย์ยุคดิสรับชั่น ใช้เวลาเรียน 7 ปี ได้ 2 ปริญญา (ปริญญาตรีแพทย์ และ ปริญญาโทวิศวกรรมศาสตร์) เสริมศักยภาพประเทศไทยก้าวเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ในอนาคต โดยตอบรับเป้าหมายเมดิคัลฮับ (Medical Hub) และนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ใน EEC ไปเมื่อวันที่ 15 ต.ค.
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล กล่าวว่า แนวโน้มการนำดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพทย์จึงจำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นอกจากความรู้ด้านการแพทย์ที่ดีแล้ว ทักษะและความเข้าใจทางด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแพทย์ยุคใหม่
อีกทั้ง คนรุ่นใหม่มีความสามารถและความสนใจทั้งในด้านการแพทย์และวิศวกรรม ดังนั้น หลักสูตรร่วมแพทย์–วิศวะ (พ.บ. - วศ. ม.) จะช่วยดึงศักยภาพและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ในการสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ จากความรู้ทางด้านแพทย์และวิศวกรรม
--------------------------------------------
แพทย์ที่เป็นได้มากกว่าแพทย์
--------------------------------------------
จุดเด่นของหลักสูตรร่วมแพทย์–วิศวะ (พ.บ. - วศ. ม.) คือ การพัฒนาทักษะทางการแพทย์และความรู้ทักษะพื้นฐานทางวิศวกรรม สร้างประสบการณ์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมกับนักวิจัยและอาจารย์ทั้งในคณะแพทย์และคณะวิศวะ ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 7 ปี โดย ปีที่ 1 - 3 มีการเรียนการสอนทางด้านพรีคลินิกเช่นเดียวกับหลักสูตรแพทย์ปกติ ส่วนในชั้นปีที่ 4 เป็นช่วงของการพัฒนาทักษะด้านวิศวกรรมและลงมือพัฒนางานวิจัยหรือนวัตกรรม
หลังจากนั้นในปีที่ 5 - 7 จึงกลับมาเรียนชั้นคลินิกเช่นเดียวกับหลักสูตรแพทย์ปกติ พร้อมทั้งทดลองและต่อยอดนวัตกรรมที่ได้พัฒนาขึ้นในช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน เมื่อจบการศึกษาสามารถทำงานเป็นแพทย์ที่เป็นได้มากกว่าแพทย์ โดยมองเห็นปัญหาและโอกาสในการแก้ปัญหาด้วยหลักการทางวิศวกรรม มีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบมากขึ้น มีพื้นฐานพร้อมต่อยอดเพื่อพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ และเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่มีโอกาสูงขึ้นในการได้รับเลือกให้เรียนต่อเฉพาะทางหรือหลักสูตรปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากมีประสบการณ์ทำงานวิจัยและผลงานตีพิมพ์ในระดับนานาชาติ
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า คุณสมบัติที่สำคัญในการสมัครหลักสูตรดังกล่าว คือ ต้องจบมัธยมปลายในประเทศหรือต่างประเทศ มีความรู้ภาษาอังกฤษดี เนื่องจากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่ต้องทำอยู่บนพื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก ดังนั้น ต้องมีคะแนนสอบ IELTS ไม่น้อยกว่า 6.5 ขึ้นไป และคะแนนสอบ BMAT ต้องเกิน 12 ขึ้นไป จึงจะมีสิทธิสมัคร นอกจากนี้ คนที่มีศักยภาพสูงในด้านวิศวกรรมศาสตร์ เช่น มีโครงการวิจัยที่เกี่ยวกับการแพทย์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์ ในชั้น ม.ปลาย รวมถึงนักเรียนระดับโอลิมปิกจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ค่าใช้จ่ายทั้งหลักสูตรไม่เกิน 4 แสนบาท ซึ่งมหาวิทยาลัยมีโครงการทุนการศึกษาอีกด้วย
“เรามีความเชื่อมั่นว่า มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่สนใจทางด้านการแพทย์ควบคู่กับวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งตรงนี้จะเป็นหลักสูตรที่ตรงใจ เพียงแต่ว่าจะใช้เวลาเรียนมากขึ้นจาก 6 ปี เป็น 7 ปี แต่ได้ 2 ปริญญา คือ แพทยศาสตร์บัณฑิต และวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต แต่ใบประกอบวิชาชีพจะมีอย่างเดียว คือ ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม เพราะไม่ได้ตอบโจทย์การเป็นวิศวกร แต่เป็นแพทย์ที่มีความรู้เชิงวิศวกรรมศาสตร์” ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้รับยกย่องว่ามีเป็นประเทศหนึ่งที่มีระบบสาธารณสุขที่ดี ขณะที่ไทยเรากำลังก้าวเป็นสังคมสูงวัย อีกทั้งการเติบโตของบริการสุขภาพการแพทย์และแนวโน้มเฮลท์เทค ในปีหนึ่งๆ มีชาวต่างชาติที่เดินทางมาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย จำนวน 1.05 ล้านคนต่อปี และหากรวมผู้ติดตามด้วยจะมีจำนวนเป็น 3 ล้านคนต่อปี
สำหรับรูปแบบการเรียนทางด้านวิศวกรรมและความเชื่อมโยงทางด้านการแพทย์ จะเป็นอีกพลังในการสร้าง “คน” ที่จะร่วมสร้างประเทศฐานนวัตกรรม นำมาซึ่งสุขภาพดี คุณภาพชีวิตและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ และภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีประชากร 650 ล้านคน โดยนักศึกษาในโครงการหลักสูตรร่วม จะได้รับการพัฒนาศักยภาพในรายวิชาทางด้านวิศวกรรม ผ่านหลักสูตร “วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์” (Biomedical Engineering) ในการสร้างแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษาและมีความรู้ความเข้าใจทางด้านวิศวกรรม ทำให้สามารถมองเห็นปัญหาและโอกาสในการแก้ปัญหา
รวมทั้งสร้างนวัตกรรมให้เชื่อมโยงกับวิศวกรชีวการแพทย์ได้ เป็นลักษณะ Project Based Learning (PBL) โดยเน้นการทำ Project เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองและการลงมือปฏิบัติจริง ให้เกิดทักษะการทำงานวิจัย เกิดกระบวนการคิด การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มุ่งส่งเสริมให้มีการทำงานวิจัย นวัตกรรม การตีพิมพ์ผลงานระดับนานาชาติในวารสารวิชาการต่างประเทศ ผ่านการทำวิทยานิพนธ์
“ทั้งนี้ ผู้เรียนสามารถเลือกแนวทางการทำวิจัยในด้านต่างๆ ได้ เช่น วิศวกรรมเนื้อเยื่อและระบบส่งยา ชีวสัญญาณและการประมวลผลภาพ วิศวกรรมฟื้นฟูอวัยวะประดิษฐ์ อุปกรณ์รับรู้ทางชีวภาพและอุปกรณ์ชีวการแพทย์ การคำนวณขั้นสูงทางการแพทย์ รวมทั้งหุ่นยนต์และศัลยกรรมบูรณาการคอมพิวเตอร์ เชื่อว่าหลักสูตรดังกล่าว จะสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง และสร้างคุณประโยชน์ให้แก่วงการสาธารณสุขไทยได้” ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ กล่าว
หลักสูตร พ.บ. - วศ. ม. เปิดรับสมัครในเดือนธันวาคมนี้ โดยวิธีรับตรงผ่านระบบ TCAS63 รอบ Portfolio ของ ทปอ. และพิจารณาคัดเลือกโดยดูจาก Portfolio และสัมภาษณ์แบบ Multiple Mini Interview (MMI) รับนักศึกษาจำนวน 20 คนต่อปีการศึกษา โดยเป็นการรับตรงในรอบที่ 1 แฟ้มสะสมผลงาน มีการรับนักศึกษาแยกจากหลักสูตรแพทย์ปกติอย่างชัดเจน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://med.mahidol.ac.th/meded/th/Course_2 และ Facebook Fanpage: RAMA By D