6 โอสถลดความจำ กินประจำ อาจกลายเป็นโรคสมองเสื่อม
หมอเตือนใช้ยาต้องระวัง ชี้ ยา 6 ประเภท หรือเรียกง่ายๆ ว่า โอสถลดความจำ กินประจำ ทำความจำหาย จนอาจกลายเป็นโรคสมองเสื่อม แนะหมั่นสังเกตอาการ โดยเฉพาะกลุ่มคนไข้รักษาระยะยาวที่ชอบซื้อยาเอง
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย กล่าวว่า หลายท่านตกใจเวลาลืม เพราะห่วงว่าจะเป็นโรคสมองเสื่อมหรือโรคทางระบบประสาทอื่นๆ ซึ่งความจริงแล้ว แม้จะมีส่วนจริงแต่อย่าเพิ่งตระหนก เพราะการลืมเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ไม่ว่าจะลืมที่จอดรถชั่วคราว ใจลอย หรือลืมกลางอากาศประเภทนิ่งงันไปไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เหล่านี้ถือว่าเป็นการลืมที่อาจเกิดขึ้นได้ในคนทั่วไป
“แต่การลืมประเภทที่ค่อนไปทาง ผิดปกติที่อาจเข้าข่ายสมองเสื่อมนั้น มีสัญญาณสำคัญอยู่ คือ ถามคำถามเดิมซ้ำๆ,ลืมคำพูดสามัญที่แสนธรรมดาเวลาจะพูด,พูดสับกันเช่นพูดว่าเตียง แทนที่จะเป็นโต๊ะ,ใช้เวลานานกว่าจะทำภารกิจเดิมๆ เสร็จ,วางของไว้ผิดที่ในที่ไม่ควรวางเช่นวางกระเป๋าสตางค์ไว้ในฝาชีครอบกับข้าว ,เดินแล้ววหลงง่ายหรือขับรถหลงทางเดิมๆ, อารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนอย่างไม่มีเหตุผล” นพ.กฤษดา กล่าว
ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องสมองเสื่อมฟังดูอาจเหมือนไร้ทางแก้ แต่จริงๆ มีสาเหตุของความจำที่หายไปซึ่งแก้ได้อยู่ อาทิ ภาวะซึมเศร้า, เครียด, ติดเหล้าอัลกอฮอลิซึ่ม,ขาดวิตามินบี12, โรคไทรอยด์ต่ำ หรือมีเนื้องอกสมองก็ยังจัดการได้ นอกจากนั้น ยังมีอีกเหตุหนึ่งที่ผู้สูงวัยยุคใหม่ต้องจับตาให้ดี คือ เรื่องของการรับประทานยา เพราะว่ามียาที่ทำให้เกิดอาการหลงลืมได้ดังจะขอเรียกง่ายๆ ว่า “โอสถลดความจำ” ที่กินประจำ ทำให้ความจำหายไปบ้าง อาจกลายเป็นโรคสมองเสื่อม จนเผลอคิดไปว่าเข้าข่ายอัลไซเมอร์ ดังนั้นการ กินยาต้องรู้ว่ามีผลต่อสมองหรือไม่
ยาทั่วไปที่ทำให้สมองลืมได้ มีดังต่อไปนี้
1) ยานอนหลับ ยานี้เป็นสิ่งที่หลายคนกลัวฤทธิ์ของมันแต่ก็ยังคงใช้กันอยู่เกลื่อนยานอนหลับสามารถไปกดสมองส่วนที่ช่วยจำกับเรียนรู้ซึ่งยานอนหลับหลายขนานมีผลข้างเคียงคืออาการความจำหายยกตัวอย่างยานอนหลับกลุ่มเบนโซไดอะเซพีนส์
2) ยารักษาอาการจิตเวช เป็นยาชนิดที่มีผลต่อสมองบางชนิดมีผลกดอาการหวาดระแวง, หลอนหรืออารมณ์ไบโพลาร์อาจนำไปสู่ความผิดปกติในเรื่องความจำได้
3) ยาฆ่าเชื้อ แม้ไม่เกี่ยวกับความจำโดยตรงแต่อาจมีผลกับระบบสำคัญของร่างกายที่สร้างสารสื่อประสาทได้ไม่แพ้สมองคือ “ทางเดินอาหาร” จึงมีคำว่าลำไส้นี้คือสมองที่2ของร่างกายซึ่งสารเคมีที่มีผลกระทบต่อสมองของเราหลายตัวผลิตจากทางเดินอาหารนี้ดังนั้นยาฆ่าเชื้อที่เข้าไปสังหารจุลินทรีย์ดีๆในลำไส้ของเราจึงอาจมีผลต่อการทำงานสมองได้ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะกลุ่มควิโนโลนอย่างเลโวฟล็อกซาซิน หรือยารักษาเจ็บคออย่างอะม็อกซิซิลลินและเซฟาเล็กซิน
4) ยาแก้แพ้ ที่เรียกว่าแอนตี้ฮิสตามีนมีหลายชนิดใช้เวลาเป็นภูมิแพ้,จาม,คัน,คัดจมูก,เป็นผื่นลมพิษต่างๆมีผลกวนสมองตรงที่มันไปยับยั้งสารสื่อประสาทอะเซติลโคลีนซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับความจำและการเรียนรู้ถ้าสารอะเซติลโคลีนนี้ต่ำไปจะทำให้เกิดสมองเสื่อม,ความจำหายหรือมีอาการวุ่นวายสับสนได้
5) ยาลดความดันโลหิต เรื่องนี้มีการถกเถียงกันโดยโดยเฉพาะยาลดความดันกลุ่มที่ทำให้หัวใจเต้นช้าคือเบต้า-บล็อกเกอร์นั้น มีเคสรีพอร์ทว่าคนไข้สูงวัยมีอาการความจำเสื่อมร่วมด้วยอีกรายหนึ่งมีเห็นภาพหลอนส่วนอีกเคสนั้นมีอาการสับสนวุ่นวาย (delirium) หลังได้รับยาลดความดันกลุ่มนี้ทั้งที่ไม่เคยมีประวัติจิตเวชมาก่อนและเมื่อหยุดยาไปก็อาการหายภายใน 20 ชั่วโมง
6) ยากันชัก ยากลุ่มนี้มีรายงานว่าทำให้สมองนั้น “ช้าลง” เพราะต้องการให้การส่งสัญญาณปลุกชักลดลง ดังนั้น ผลข้างเคียงของยาต้านชักบางตัวจึงเป็นที่รู้กันว่ามีผลต่อการรู้คิด (cognitive function) จึงอาจมีผลต่อความจำและการเรียนรู้ได้ดังในการศึกษาของ University of Eastern Finland เผยว่าการใช้ยากันชักติดต่อกันนาน 1 ปี มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงอัลไซเมอร์ถึง 15% ส่วนข้อมูลของทางเยอรมนีบอกไว้ที่ 30%
อย่างไรก็ตาม น.พ.กฤษดา ย้ำว่าอยากให้ทราบไว้ว่าไม่ควรตระหนกเรื่องยาประจำที่กินอยู่จนหยุดรับประทาน เพราะการที่บอกว่ามีความเสี่ยงนั้น ถ้าเราได้หมั่นสังเกตและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้จ่ายยาก็จะช่วยให้ความเสี่ยงที่ว่าลดลง จึงอยากให้ระวังในกลุ่มคนไข้ที่รักษาไปนานๆ แล้วซื้อยารับประทานเองหรือไม่มีเวลาไปตรวจติดตามมากกว่า