'ซึมเศร้า-เบิร์นเอาท์' พิษร้ายเมืองใหญ่? คนไทยป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น

'ซึมเศร้า-เบิร์นเอาท์' พิษร้ายเมืองใหญ่? คนไทยป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น

10 ปี ผ่านไป จาก 'โรคซึมเศร้า' ถึง 'เบิร์นเอาท์' ผู้ป่วยโรคจิตเวชดั้งเดิมก็เพิ่มขึ้น โรคยุคใหม่ก็ปรากฏ เมืองเปลี่ยนไปหรือปัจจัยอะไรที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บทางใจมากขึ้นทุกที

โรคจิตเวช และโรงพยาบาลจิตเวชมีมาร่วมร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ยุค 1930s – 1990s เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และโรคจิตเภทคร่าชีวิตผู้ป่วยไปมากมาย ทั้งจากการรักษาที่ยังค้นพบวิธีที่ดีที่สุดไม่ได้ และการฆ่าตัวตาย แต่หลังจากยุค 90s แล้ว การฆ่าตัวตายก็ลดลง เพราะในที่สุด วงการแพทย์ก็ได้รู้แล้วว่าไม่ใช่เพียงโรคจิตเภท หรือเศร้ารุนแรงชั่วขณะที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย แต่เป็นเรื่องของภาวะโรคที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมอง พบปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคขึ้นมา รวมถึงค้นพบวิธีการรักษาโรคซึมเศร้าและโรคทางจิตเวชอื่นๆ ขึ้นมา

ทั้งยังเป็นช่วงแห่ง “สุขนิยม” ของวัยรุ่นทั่วโลก ทว่า คนในศตวรรษที่ 21 ล่ะ สุขนิยมกลายเป็นเรื่องเบาหวิว สังคมแห่งเทคโนโลยีและความเป็นเมืองใหญ่ผลักคนจำนวนมากเข้าสู่มุมมืดทางใจ ยิ่งสมองต้องการพิสูจน์ความสำเร็จ จิตใจก็อาจเริ่มล้า ท้อแท้ และบาดเจ็บขึ้นมาได้

  • โรคเก่าในบริบทใหม่

โรคจิตเวช (Mental Illness) (ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคจิต หรือเป็นบ้า) เช่น โรคซึมเศร้ามีมานานแล้ว ศิลปินและนักเขียนในอดีตหลายคนป่วยเป็นโรคนี้ในวันที่การแพทย์ยังไม่ได้รับรองให้ถึงขั้นเป็นโรค นักเขียนอย่างเวอร์จิเนีย วูลฟ์ หรือซิลเวีย เพลท ที่เขียนบรรยายการมองโลกอย่างบิดเบี้ยวแปลกประหลาด จนสร้างปรากฏการณ์ให้เป็นงานเขียนระดับรางวัล ราวกับว่าเป็นพรสวรรค์ที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี ที่แท้คือหลุมดำบางอย่างที่เขาดิ่งอยู่ และพยายามอธิบายออกมา เขียนเพื่อบำบัดความเศร้าหรือ อันที่จริงอาจไม่ได้ทั้งหมด เพราะสุดท้าย ตัวอย่าง 2 ชื่อที่ยกขึ้นมานั้น ก็จากไปด้วยการฆ่าตัวตายอยู่ดี

  • สิ้นยินดีเลวร้ายกว่าซึมเศร้า?

โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) อันที่จริงคำว่า ‘ซึมเศร้า’ ยังเป็นคำแปลภาษาไทยที่อาจไม่ตรงกับอาการโรคเท่าใด เพราะผู้ป่วยไม่ได้ซึมหรือเศร้าอย่างเดียว แต่เป็นความขมขื่นและดำมืดบางประการ ที่อธิบายได้ยาก บางคนเรียกมันว่าสุนัขสีดำ บางคนบอกว่ามันคือหยดหมึกดำที่แพร่กระจายไปทั้งตัว บางคนเฉยชาทั้งๆ ที่น้ำตาไหลอย่างบ้าคลั่ง บางคนโกรธเกรี้ยวอยู่ข้างในแต่ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร 

     อ่าน: เตือนโรคซึมเศร้าจะครองโลกปี 2030

อีกหนึ่งภาวะที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในสังคมยุคใหม่คือ ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia) ที่ทำให้คนไร้ความรู้สึกแม้แต่กับสิ่งที่เคยชอบทำหรือเคยทำแล้วมีความสุข เช่น ดนตรี อาหาร การสนทนา หรือแม้แต่เรื่องเพศ

ภาวะนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาการโรคซึมเศร้าที่จะสุขก็ไม่สุข จะทุกข์ก็ไม่ทุกข์ ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ และสมาคมจิตเวชศาสตร์ของสหรัฐยังระบุด้วยว่า ภาวะสิ้นยินดีนั้นสามารถพบได้ในโรคจิตเภทและความผิดปกติทางจิตอื่น ๆ อีกด้วย

157762571467

ในระยะแรกของผู้ที่มีอาการภาวะสิ้นยินดีนี้จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก แต่เมื่อนานไป อาการก็จะเริ่มแสดงออกมาเอง รับรู้ได้จากทุกอย่างที่เคยทำเป็นปกติทุกวันอยู่ ๆ ก็ไม่อยากทำอีกต่อไปเพราะคิดว่าทำไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

จากคำบอกเล่าของผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าหลายคนที่มีอาการของภาวะสิ้นยินดียังบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เกลียดความรู้สึกว่างเปล่านี้มากกว่าอาการของโรคซึมเศร้าด้วยซ้ำ ผู้ป่วยยังบอกอีกว่าการที่ตนรู้สึกเศร้านั้นยังดีกว่าการไม่รู้สึกอะไรเลย (หลายคนจึงทำร้ายตัวเอง เพราะต้องการ “รู้สึก” แม้จะเป็นความเจ็บปวดก็ยังดีกว่า) ภาวะนี้จึงเกี่ยวข้องกับความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้สึกอะไรเลยทำให้ไม่กลัวตาย ภาวะสิ้นยินดีจึงเป็นปัญหาที่สำคัญต่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างมาก

ข้อมูลจากปี 2560 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าราว 1.5 ล้านคน เพิ่มจากปี 2559 ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชรวมทุกโรคกว่า 7 แสนคน ในจำนวนนั้น ผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวน หรือ ไบโพลาร์ 3 หมื่นกว่าคน (ยังมีผู้ป่วยอีกมากที่ไม่ได้มาพบแพทย์) นี่เป็นอีกโรคที่น่าห่วงไม่น้อย

  • ไบโพลาร์ไม่ใช่เรื่องน่าขัน

โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) โรคอารมณ์สองขั้ว ที่ไม่ใช่เพียงแค่ความขึ้นลงของอารมณ์ที่ใครๆ ก็เป็นกัน แต่อาการของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ จะมีอารมณ์แปรปรวนผิดปกติ ต่างกันชัด 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งคือ อารมณ์คลั่ง หรือ Mania ในช่วง Manic Episode ในช่วงนี้ผู้ป่วยจะรื่นเริงสนุกสนานผิดปกติ มีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่เหน็ดเหนื่อย มีความมั่นใจมาก ขาดความยับยั้งชั่งใจ หากถูกห้ามหรือขัดขวางในสิ่งที่ต้องการจะหงุดหงิด ฉุนเฉียว ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบมีอาการหลงผิดแบบมีพลังวิเศษ หรือมีความสามารถพิเศษเหนือคนอื่นจนถึงมีภาวะหวาดระแวงได้

อารมณ์อีกขั้วคือ อารมณ์ซึมเศร้า หรือ Depression ในช่วง Depressive Episode ผู้ป่วยจะเบื่อหน่าย ซึมเศร้า ร้องไห้ง่าย กินไม่ได้ การนอนผิดปกติ (นอนตลอดเวลา หลับยาก หรือไม่นอนเลย) หมดหวัง รู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่มีคนสนใจ ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่อยากทำอะไรเลย และอาจคิดฆ่าตัวตาย

157762574786

ในแต่ละช่วงจะมีอาการต่อเนื่องราว 2 สัปดาห์–1 เดือน โดยมีผลกระทบทั้งด้านอารมณ์ พฤติกรรม และความคิด อาจจะสลับกัน หรือมีช่วงที่ปกติ หรือมีช่วงอาการผสม หรือ Mixed Episode คือมีทั้ง Mania และ Depression ผสมกัน 

เพราะความแปรปรวนนี้จึงทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมาก บางคนยังพอทำงานได้ แต่หากถึงขั้นหนักหน่วง ก็ต้องพักงานไปเลย ควรพบจิตแพทย์ และมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะหากตกอยู่ในช่วงซึมเศร้า อาการก็รุนแรงถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย และมีผู้ป่วยไบโพลาร์ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาได้ลงมือและจากโลกไปแล้วถึง 1 ใน 5

  • 10 ปีผ่านไปคนไทยป่วยใจมากขึ้นกว่าเดิม

รายงานของกรมสุขภาพจิตตั้งแต่ปี 2551–2561 ชี้ให้เห็น (ถึงโรคทางจิตหลักๆ ที่พบมากในไทย) ว่ามีปริมาณทั้งลดลงและเพิ่มขึ้น โดยวัดจากจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับรักษาในสถานพยาบาลของกรมสุขภาพจิตทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก แต่โดยภาพรวมคือเพิ่มขึ้น ไม่นับผู้ป่วย แต่ไม่รู้ตัว และไม่ได้เข้ารับการรักษาอีก

ในภาคผนวกของรายงานประจำปี 2560 กรมสุขภาพจิตส่วนหนึ่งอธิบายว่า “ดัชนี้ชี้วัดสุขภาพจิตทางลบที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพจิตสามารถวัดได้ใน 2 ตัวชี้วัดคือ อัตราการฆ่าตัวตาย และอัตราการเจ็บป่วยทางจิต กระทรวงสาธารณสุขพบภาวะความแปรปรวนทางจิตและพฤติกรรมแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

ขอปรับภาษาให้อ่านง่ายขึ้น (สามารถดูต้นฉบับได้ที่ รายงานกรมสุขภาพจิตประจำปี 2561)

อัตราการเจ็บป่วยทางจิต เพิ่มขึ้นจาก 34.0% ในปี 2545 เป็น 62.4% ในปี พ.ศ. 2555 แล้วลดลงเล็กน้อยในปี 2556 และ 2557 แต่สูงขึ้นอย่างชัดเจนในปี พ.ศ. 2558 เป็น 72.1% ต่อ ประชากร 1 แสนคน

อัตราการฆ่าตัวตาย ลดลงในปี 2545 และเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2551 เป็น 6.0% ต่อประชากร 1 แสนคน และเพิ่มขึ้นเป็น 6.5% ต่อประชากร 1 แสนคนในปี 2558

ในขณะที่ค่าเฉลี่ยความสุขของคนไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ปี 2556-2558 อยู่ที่ 31.44 – 33.59% กลุ่มที่มีความสุขต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมีแนวโน้มขึ้นลงตลอด

ในช่วงปีที่อัตราการเจ็บป่วยทางจิตเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะบริบทเมืองที่เปลี่ยนไป อะไรเกิดขึ้นในช่วงนั้นบ้าง? ภัยพิบัติ เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้คนต้องดิ้นรนหนักขึ้นทุกที มาถึงยุคเทคโนโลยี ดิสรัปชั่น ที่พลิกทุกอย่างคว่ำหงาย การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ความเครียดถาโถม บางโรคทางใจใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น

  • “หมดไฟทำงาน” ภาวะที่ต้องรักษา

ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา คำว่า “Burnout” หรืออาการหมดไฟในการทำงาน ถูกพูดถึงและพบเห็นบ่อยขึ้นในหลายประเทศ แม้แต่ในประเทศไทย ถึงขั้นที่มีการประกาศให้อาการเบิร์นเอาท์เป็นภาวะทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาแล้ว

หากเป็นเมื่อก่อน หลายคนอาจคิดว่าภาวะนี้ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร แค่พักผ่อนมากขึ้นก็คงหาย แต่ตอนนี้อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะภาวะนี้หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาจจะเพิ่มระดับความรุนแรงถึงขั้นนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้

เมื่อเดือน พ.ค. 2562 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า Burnout Syndrome  หรือ อาการหมดไฟในการทำงาน นับเป็นภาวะทางการแพทย์ และจัดอาการนี้อยู่ในบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง (ICD-11) อันเป็นคู่มือทางการแพทย์สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคซึ่งสมัชชาอนามัยโลกครั้งที่ 72 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป

การประกาศครั้งนี้ทำให้ภาวะหมดไฟในการทำงาน ปรากฏอยู่บนเวชระเบียนของผู้ป่วยได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งหมายความว่า แพทย์สามารถระบุสาเหตุการป่วยว่า “หมดไฟในการทำงาน” ผ่านใบรับรองแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา และลาป่วยอย่างเป็นกิจจะลักษณะได้

WHO ยังให้คำจำกัดความของภาวะหมดไฟในการทำงานว่า เป็นอาการที่เป็นผลมาจากความเครียดในการทำงานเรื้อรังและยังได้รับการจัดการดูแล แบ่งลักษณะอาการได้ดังนี้

  1. ความรู้สึกเหนื่อยล้า ไร้เรี่ยวแรง หรือ อ่อนเพลีย
  2. มีระยะห่างทางจิตใจต่อสิ่งที่ตัวเองทำ อยากปฏิเสธงาน หรือ มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเรื่องที่เกี่ยวกับงาน
  3. ความสามารถในการทำงานลดลง

157762577891

สำหรับความเห็นของแพทย์ในไทย นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เปิดเผยเมื่อเดือน ต.ค. 2562 ว่า ภาวะหมดไฟเป็นปรากฏการณ์ทางอาชีพ ไม่ใช่ “โรค” และเกิดจากความเครียดเรื้อรังจากการทำงาน ซึ่งถือเป็น “ปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาวะ” ที่อาจจะนำไปสู่โรคต่าง ๆ ได้ เช่น ภาวะโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือแม้กระทั่งปวดหัวรุนแรง หรือโรคนอนไม่หลับ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เบิร์นเอาท์ไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นใหม่ แต่บรรดานักวิจัยทำการศึกษาโรคนี้มาหลายทศวรรษแล้ว ก่อนหน้านี้ เบิร์นเอาท์เป็นเพียงแนวคิดเชิงวัฒนธรรมที่คลุมเครือมานานและไม่มีคำจำกัดความเฉพาะเจาะจงที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน

การทบทวนวรรณกรรมที่ตีพิมพ์ในวารสาร SAGE Open เมื่อปี 2560 ระบุว่า เฮอร์เบิร์ต ฟรอยเดนเบอร์เกอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ล่วงลับเมื่อปี 2542 ได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกงานวิจัยอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับอาการเบิร์นเอาท์โดยงานวิจัยของเขาถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2517

ลินดา และ ทอร์สเทน ไฮเนมันน์ ผู้เขียนการทบทวนวรรณกรรมดังกล่าว ระบุว่า ในช่วง 40 ปีหลังจากงานวิจัยของฟรอยเดนเบอร์เกอร์ มีงานวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อโรคหมดไฟในการทำงานเป็นหลายร้อยชิ้น แต่ในช่วงเวลานั้น โรคหมดไฟในการทำงานกลับไม่ถูกระบุเป็นโรคทางจิต แม้จะเป็นหนึ่งในปัญหาทางจิตที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในสังคมทุกวันนี้ก็ตาม

ไฮเนมันน์ บอกว่า เหตุผลหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ คืองานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับเบิร์นเอาท์ให้ความสำคัญกับสาเหตุและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง มากกว่าความพยายามในการหาเกณฑ์ในการวินิจฉัยปัญหานี้อย่างเจาะจง ทำให้เกิด “ความคลุมเครือและความกำกวม” เกี่ยวกับแนวคิดต่อภาวะ Burnout

ในการทบทวนวรรณกรรมดังกล่าว ผู้เขียนทั้ง 2 คนยังชี้ว่า คำถามที่ว่านักวิจัยสามารถจำแนกภาวะซึมเศร้าและภาวะหมดไฟในการทำงานออกจากกันได้หรือไม่นั้น ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการยกระดับอาการเบิร์นเอาท์ให้เป็นโรคชนิดหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การที่องค์การอนามัยโลกประกาศให้อาการเบิร์นเอาท์เป็นภาวะทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษานั้น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการจำกัดจำนวนผู้หมดไฟในการทำงานไม่ให้ระบาดไปมากกว่านี้

  • “ความเหงา” โรคยุคใหม่ ?

ถึงแม้ว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะมีวิธีการติดต่อเพื่อนฝูง ครอบครัว และแม้แต่เพื่อนร่วมงานมากกว่าที่เคย แต่ความเหงากลับกลายเป็น “โรคระบาดยุคใหม่” และที่สำคัญ อาจทำให้สมรรถภาพในการทำงานของคนยุคนี้ลดลงด้วย

ในประเทศไทย มีคนเหงาจำนวนไม่น้อย ประมาณ 4 ใน 10 คน อ้างอิงจากผลสำรวจโดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อหลายเดือนก่อน ที่พบว่าในบ้านเรา มีคนเหงากว่า 26.75 ล้านคน หรือคิดเป็น 40.4% ของประชากรทั้งประเทศ โดยเป็นการทดสอบกลุ่มตัวอย่างคนไทยกว่า 1,100 คน

ผลสำรวจของเว็บไซต์ The Economist เมื่อปีที่แล้ว พบว่า กว่า 9% ของผู้ใหญ่ในญี่ปุ่น 22% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐ และ 23% ของผู้ใหญ่ในอังกฤษ มักรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว หรือรู้สึกแบบนี้ตลอดเวลา

ในสหรัฐ ผลสำรวจเมื่อปีที่แล้วของบริษัทประกัน “ซิกน่า” และบริษัทวิจัยตลาด “อิปซอส” ซึ่งสอบถามกลุ่มตัวอย่างผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 2 หมื่นคน พบว่า 46% หรือเกือบครึ่ง รู้สึกโดดเดี่ยวตลอดเวลาหรือเป็นครั้งคราว

แต่ที่น่าสนใจคือผลการศึกษาอีกชิ้นในปีเดียวกัน ที่จัดทำโดย ศาสตราจารย์ ซิกัล บาร์เซด จากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน และศาสตราจารย์ ฮาคาน ออซเชลิก จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่า “ความเหงา” มีผลกระทบขั้นรุนแรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน

157762582813

ผลการศึกษาภาคสนามดังกล่าวที่ชื่อว่า “No Employee an Island: Workplace Loneliness and Job Performance” สำรวจความเห็นบรรดาลูกจ้าง 672 คนและหัวหน้างานของลูกจ้างเหล่านี้114 คน ไล่ตั้งแต่ตำแหน่งระดับล่างไปจนถึงระดับบริหารในสหรัฐ

บาร์เซดอธิบายในบทวิเคราะห์ธุรกิจออนไลน์ “โนว์เลดจ์ แอท วอร์ตัน” (Knowledge@Wharton) ว่า เรื่องความเหงาส่งผลเชิงลบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากการขาดการปฏิสัมพันธ์หมายความว่าพวกเขาจะได้ข้อมูลในบริษัทจากเพื่อนร่วมงานน้อยกว่า และหมายความว่าพนักงานที่รู้สึกโดดเดี่ยวมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการจากบริษัท

ผลสำรวจนี้อาจขัดแย้งกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเกี่ยวกับความเหงา โดยคาดเดาจากมุมมองด้านวิวัฒนาการและแรงจูงใจที่ว่า คนที่รู้สึกเหงาจะเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่น ๆ

“แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับความโดดเดี่ยวคือ เมื่อผ่านจุดแรกเริ่มมาได้ มันจะเป็นสาเหตุให้เรารู้สึกหวาดระแวงมากขึ้น และปิดกั้นตัวเองมากขึ้น” บาร์เซดระบุ

ศาสตราจารย์จากวอร์ตัน เผยว่า ด้วยเหตุที่เพื่อนร่วมงานและประสิทธิภาพการทำงานมีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก ในแง่ของการให้ความคิดเห็นและคำปรึกษา มันจึงสมเหตุสมผลที่คนเหงาในที่ทำงานจะได้รับผลกระทบเชิงลบ

ผลการศึกษาของซิกน่า-อิปซอส พบว่า ความเหงาในที่ทำงานมีผลกระทบต่อสุขภาพเช่นกัน เกือบ 9 ใน 10 (89%) ของกลุ่มตัวอย่างที่มีความสัมพันธ์ “เชิงบวก” กับเพื่อนร่วมงานจะบอกว่ามีสุขภาพดี เทียบกับ 2 ใน 3 (65%) ของกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ “ปานกลางหรือแย่” กับเพื่อนร่วมงาน

  • โรคจิตเวชคือระบาดวิทยา

นอกจากพันธุกรรม หรือพยาธิสภาพทางกายของแต่ละคนแล้ว โรคจิตเวชไม่ได้ติดต่อกันลมหายใจ หรือสัมผัส แต่ระบาดด้วยการอยู่ภายใต้โครงสร้างสังคมเดียวกัน ไม่เพียงความกดดันของสังคมในระดับครอบครัว ไปจนถึงสังคมออนไลน์ ที่ทำให้คนเรายิ่งเพิ่มความคาดหวังต่อตัวเองมากขึ้น อีกทั้งโครงสร้างของเมืองใหญ่นั่นคือปัจจัยสำคัญ

Urbanization หรือการที่ประชากรย้ายถิ่นฐานมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่ เป็นกระแสหลักของโลก ในช่วง 2 - 3 ร้อยปีที่ผ่านมาจนถึงอนาคต มีการพยาการณ์กันว่าปี 2050 คนจะอพยพเข้าเมืองใหญ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีประชากรถึง 7 พันล้านคนกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ 70 % มีเพียง 30 % เท่านั้นที่ยังอยู่ในชนบท และ 1 ใน 3 ของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ก็ต้องอยู่อย่างแออัดในสภาพแบบสลัม

เพราะอะไร? ก็เพราะเมืองใหญ่คือโอกาสของการทำมาหากิน คือศูนย์กลางของความเจริญ ธุรกิจ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความสะดวกสบายของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ไม่ใช่สำหรับทุกคน ต่อให้ต้องมีความเป็นอยู่คับแค้น ต่อให้มีแรงกดดันสูงในการเอาชีวิตรอดในแต่ละวันก็ตาม

     อ่าน : เมืองกินเด็ก เมื่อเด็กไทยโตในคอนโด

มลพิษทางอากาศ ความหนาแน่นของประชากรที่ทำให้พื้นที่ตารางเมตรต่อคนต่ำกว่ามาตรฐาน การลดลงของพื้นที่สีเขียว และพื้นที่สาธารณะเพื่อมวลชนลดลง นี่เป็นนโยบายที่เมืองใหญ่ต้องวางแผนไว้สำหรับอนาคต เพื่อสุขภาวะที่ดีขึ้น...แม้เพียงสักเล็กน้อยก็ตาม

ทั้งนี้ ทุกโรคจิตเวชมีหนทางในการรักษา หากรู้สึกว่าตัวเองมีภาวะทางใจใดไม่สมดุลขึ้นมา การปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตบำบัด แล้วเข้ารับการรักษาไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดเลย และสามารถหายได้จริง

ไม่มีใครในโลกที่สมดุลได้ตลอดเวลา ‘คนป่วยจิต’ ที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยต่างหากที่จะเป็นภาระของคนรอบข้างและสังคม

อ้างอิง:

รายงานกรมสุขภาพจิตประจำปี  , จุดประกาย, NCBI, Psychology Today, Urban Design Mental Health, Our World in Data, CNN, Bottom Line, The Economist, Unlockmen, Depression and Anhedonia, Medical News Today