ปักหมุด ‘อยุธยา’ มุมใหม่...ในเมืองเก่า

พระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดสำคัญ ที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาราชธานี อาณาจักรสยาม ที่มีความเจริญรุ่งเรืองยาวนาน 417 ปี สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมีโอกาสได้มาเที่ยวที่นี่ คือการมาสัมผัสร่องรอยอดีตกาลย้อนความทรงจำกลับไปในสมัยออเจ้าหรือยุคประวัติศาสตร์อีกครั้ง ซึ่งมีแลนด์มาร์คให้ได้ตามรอยมากมาย เช่น เจดีย์สามองค์วัดพระศรีสรรเพชญ องค์ปรางประธานวัดพระรามสวยงามด้วยศิลปะขอม, สักการะหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ ที่วัดพนัญเชิง, Unseen Thailand เศียรพระพุทธรูปในต้นไม้ที่ถูกรากต้นโพธิ์ปกคลุมจนเกือบมิด ที่วัดมหาธาตุ  หรือจะไปย้อนความเก่าผ่านเรื่องเล่าของภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาตอนต้น ที่วัดราชบูรณะ

แม้อยุธยาจะเป็นภาพจำของ ‘เมืองเก่า’ โบราณสถานวัดวาอารามสวยงามทรงคุณค่า แต่ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากที่รองรับนักท่องเที่ยวหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็น แหล่งรวบรวมศิลปะอย่างพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารอร่อยๆ ก็มี ร้านกาแฟหรือคาเฟ่ชิคๆ เอาใจวัยรุ่นสายเช็คอินก็พลาดไม่ได้ หรือใครมองหากิจกรรมที่เหมาะกับผ่องเพื่อนและครอบครัวแนะนำว่า ลองล่องเรือชมแม่น้ำน้อย ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ ครั้งนี้เราได้เดินทางมากับคณะ ‘คิดแล้วไปให้ถึง One day Trip with Weir' เส้นทาง จ.พระนครศรีอยุธยา กับผู้โชคดีในเฟซบุุ๊คแฟนเพจ ‘Amazing ไทยเท่’ อีก 20 ท่าน

 

• รื่นรมย์ชมศิลปะ

นัดหมายกันตั้งแต่เช้า เพื่อใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดกับการเดินทางครั้งนี้ จุดท่องเที่ยวแห่งแรกคือ พิพิธภัณฑ์ ภาพ 3 มิติ หอศิลป์กรุงสยาม อาคารหลังใหญ่ เพดานสูง เปิดโล่งด้านหน้า มีภาพวาดเหล่าวีรชนไทย มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ให้สักการะ ก่อนจะซื้อตั๋วตรงเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ห้องแรกเป็นบรรยากาศแสงสียุคจูราสสิคปาร์ค ป่าสมัยดึกดำบรรพ์ ไดโนเสาร์มากมายหลายสายพันธุ์ส่งเสียงร้อง แสงไฟสาดส่อง ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ กินพืช กินสัตว์ คอสั้น คอยาว บินได้ บินไม่ได้ มีลูกไดโนเสาร์ที่เพิ่งออกจากไข่ด้วย

เดินต่อมาห้องที่สอง จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั้ง 9 ท่านของประเทศไทย มีประวัติเรื่องราวของพระมหากษัตริย์ไทย ห้องที่สาม จัดแสดงงานฝีมือศิลปะประดิษฐ์ย่อส่วนชีวิตความเป็นอยู่คนไทยในสังคมกับกิจกรรมต่างๆ ขบวนแห่เทียนพรรษา ประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิตริมแม่น้ำ ร้านค้า โรงหนัง ตลาดบก ตลาดน้ำ บ้านเรือนไทย ย้อนไปถึงสมัยสู้รบกับพม่า ถัดไปห้องที่สี่ จัดแสดงงานฝีมือศิลปะประดิษฐ์บ้านไม้เรือนไทยแบบต่างๆ อีกฟากหนึ่งมีเรือไทยทุกประเภทให้ได้ชมทำความรู้จัก เพราะปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว

ห้องที่ห้า ภาพวาดสามมิติเสมือนจริง คล้ายๆ ที่ Art in Paradise พัทยา หลายคนตื่นตาตื่นใจเข้าไปมีส่วนร่วมทำท่าทางต่างๆ เพื่อถ่ายภาพอย่างสนุกสนาน มีรูปช้างเล่นน้ำ ก็เข้าไปทำท่าถือสายยางพ่นน้ำให้ช้าง มีรูปจระเข้อ้าปากมีแพตรงกลางแม่น้ำ ก็เข้าไปยืนให้มันหวาดเสียวเล่น มีรูปชาวนาบนหลังควาย รูปโคมลอยสะเดาะเคราะห์มุมเสย ให้เข้าไปนั่งข้างใต้ รูปสรพงศ์ขับรถสามล้อตุ๊กตุ๊ก รูปนักมวยกระโดดเตะ รูปนี้มันมาก หลายคนสร้างสรรค์ท่าทางให้ไม่ซ้ำกับอาการต่างๆ เจ็บปวดบ้างอะไรบ้าง

ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ พุทธอุทยานมหาราช หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ จ.อยุธยา คนทั่วไปเรียกว่า ตลาดหลวงปู่ทวด เราเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ข้ามถนนมาโซนตลาดน้ำ กว้างขวางใหญ่โต ร้านค้ามากมายเรียงราย ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน อาหารแปรรูป ปลาแดดเดียว, ปลาช่อน, ปลาสลิด, ปลาเนื้ออ่อน, ปลาสร้อย, ปลาร้า, ปลาย่าง, น้ำพริก, หมูทุบ, ทอดมันปลากราย, หมี่กรอบ ขนมก็มี โรตีสายไหม, สาลี่สุพรรณ, ขนมหม้อแกง, ขนมถ้วย, ขนมตาล, ขนมสายบัว, ขนมลา, ทองม้วน. ข้าวเกรียบปากหม้อ ของใช้ เสื้อผ้า เครื่องจักสาน ฯลฯ จาระไนไม่หมด เยอะมาก ต้องมาดูเอง

เดินตรงไปเรื่อยๆ มาถึงโซนที่สอง ซ้ายมือ มีทางเดินไปสู่สะพานกลางแจ้ง ตรงเกาะกลางน้ำมีหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ อาคารไม้หลังใหญ่สองฟากริมน้ำเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเด้ง ร้านกาแฟริมน้ำ ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก สินค้า OTOP ก่อนเดินข้ามสะพาน มีร่มบริการจัดวางไว้ให้ยืมใช้ได้ด้วย เผื่อใครไม่อยากถูกแสงแดดแผดเผา ตำแหน่งตรงกลางสะพานเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมมีหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่อยู่ด้านหลังเพื่อบอกว่าฉันได้มาถึงที่นี่แล้ว ระหว่างทางที่เราเดินผ่านมามีจุดนั่งชมวิวริมน้ำหลายที่ด้วยกัน เหมาะสำหรับรับประทานอาหาร ให้อาหารปลา หรือนั่งชิลๆ ชมวิวก็ได้  

เราเดินข้ามสะพานไปสักการะหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ความสูง 51 เมตร หน้าตักกว้าง 24 เมตร ระหว่างไหว้ก็ได้ยินเสียงเชียร์ให้โยนเหรียญเสี่ยงทายลงบาตรที่มีคำอวยพรต่างๆ อาทิ มั่งมี, ร่ำรวย, การงานดี, สุขภาพแข็งแรง, มีความสุขในชีวิต แต่บาตรนั้นเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาด้วยกลไก ทุกคนจึงต้องใช้พยายามกันมากหน่อย จากนั้นก็เดินกลับมาชอปปิงต่อ อยากกินอะไรก็จัดได้เลย หรือจะซื้อไปฝากคนที่บ้านก็ได้ ของดีๆ จากที่ต่างๆ ถูกนำมารวมกันไว้ที่นี่หมดแล้ว

ตลาดหลวงปู่ทวดแห่งนี้ ยังมีโรงเรียนโอท็อปด้วย มาที่เดียวได้ชมหลายบรรยากาศ ทั้งหอศิลป์กรุงสยาม 3 มิติ ทั้งได้สักการะหลวงปู่ทวด และได้ชอปปิงสินค้าอาหารจากชุมชน (ค่าเข้าหอศิลป์กรุงสยาม 3 มิติ คนละ 60 บาท สถานที่ตั้งตลาดหลวงปู่ทวด อยู่ที่ กม.44 ถนนสายเอเชีย ต.บ้านใหม่ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา)

 

• เต็มอิ่มกับอาหารไทยโบราณ

คณะของเราเดินทางต่อไปยังร้านอาหารสุริยันจันทรา สนามหญ้าเขียวขจี ต้นไม้เยอะ ร่มรื่น จัดวางที่นั่งกลางสวนประดับตกแต่งอย่างสวยงามเหมาะแก่การถ่ายภาพ เราเดินเข้าไปในบ้านทรงไทยโบราณด้านขวา ด้านซ้ายเป็นโรงสีเก่าอายุ 130 ปี ที่แห่งนี้รีโนเวทตกแต่งใหม่อย่างหรูหรา ลักซ์ชัวรี มี Chandelie บรรยากาศคล้ายกับโรงแรมดังริมน้ำเจ้าพระยา

รับเวลคัมดริ๊งค์แล้วไปนั่งดื่มที่โต๊ะ ลมจากแม่น้ำน้อยพัดเข้ามาปะทะ โอโซนจากต้นไม้รายล้อมสร้างความเย็นสบาย ได้พักผ่อนอย่างแท้จริงชั่วขณะ ก่อนที่พนักงานจะเดินมาเสิร์ฟอาหารว่าง Appetizers เป็นอาหารโบราณ เช่น ถุงทองยวง, ช่อม่วง, หรุ่ม, หมูโสร่ง ที่น่าสนใจกว่าอาหารคือภาชนะที่ใส่มา ล้วนเป็นของโบราณหายาก จาก พาน ช้อน ส้อม ฝาชีครอบ เหมือนเส้นทองที่ถักทอกัน

แล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญ ด้วยการแนะนำกุ๊ก ‘เวียร์ ศุกลวัฒน์’ จะมาสาธิตการทำ ‘แกงรัญจวน’ อาหารโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 ให้ทุกคนได้ชิม เวียร์ก้าวขึ้นเวทีทักทายทุกคนแล้วก็เชิญชวนให้ไปเที่ยวเมืองไทย

“วันนี้เรามาอยุธยา อยุธยามาเที่ยววันไหนก็ได้ครับ วันธรรมดาก็ได้ วันหยุดก็ได้ วันนี้ทุกคนเป็นแขกพิเศษ One Day Trip อยุธยา เดี๋ยวต่อจากนี้เรายังมีล่องเรือไหว้พระกันด้วยนะครับ” จากนั้นก็เริ่มลงมือปรุงอาหาร โดยมีเชฟโก้ มาเป็นผู้ช่วยและให้ความรู้

“แกงรัญจวน วัตถุดิบหลักประกอบไปด้วย น้ำพริกกะปิ, กระเทียม, ตะไคร้, ข่า สมัยก่อนน้ำพริกกะปิที่ตำแล้วเหลือก้นครกจะนำมาทำแกงต่อ ใช้เนื้อวัวเนื้อควาย เพราะสมัยก่อนคนไทยนิยมเลี้ยงวัวควาย ถ้าเป็นเนื้อต้องเคี่ยวข้ามคืนก่อน เพราะมันจะเหนียว มาสมัยนี้เราดัดแปลงเป็นเนื้อหมู เป็นเมนูที่ทำเองได้ ไม่ยาก

เริ่มต้นด้วยการตั้งหม้อใส่น้ำต้มให้เดือด จากนั้นใส่กระเทียมซอย ตะไคร้ซอย ต้มให้เดือด ใส่เนื้อหมูสันในลงไป เป็นส่วนที่ดีที่สุดของเนื้อหมู ไม่มีมัน ทานแล้วไม่อ้วน ประมาณ 400 กรัม ต่อด้วยหัวใจหลักคือ น้ำพริกกะปิ ทำด้วยกระเทียมไทยกลีบเล็กให้กลิ่นหอม พริกขี้หนูสวน กะปิมาจากแม่กลอง มีรสชาติคุณภาพดี หอม แล้วก็น้ำตาลมะพร้าว

ใส่เครื่องปรุงน้ำพริกกะปิลงไป 3 กระบวย ถ้าใครชอบรสเข้มข้นก็ใส่เยอะหน่อย ต่อด้วยใบโหระพา ตัวที่ทำให้แกงหอมรัญจวน ในส่วนของน้ำพริกกะปิ เราชอบรสชาติแบบไหนก็ปรุงตามนั้นแล้วก็นำมาใส่ในแกง ส่วนเนื้อสัตว์จะประยุกต์เป็น กุ้ง ปลาหมึก ทะเล ก็ได้ หรือถ้าเป็นเนื้อ แนะนำว่าเป็นเนื้อเอ็นแก้ว เนื้อน่องลาย จะอร่อย”

ระหว่างชมการสาธิต อาหารถูกนำมาเสิร์ฟเรื่อยๆ ซุปปูเห็ดหอมน้ำแดง, ยำปลาโบราณ, น้ำพริกมะขาม, ห่อหมกบ้านหลวง, กุ้งพันอ้อย, สองเกลอราดซอสฉู่ฉี่, แสร้งว่า, ต้มส้มปลาสลิด, มัสมั่นไก่, ปูหลนทรงเครื่อง, แกงรัญจวน ต่อด้วยของหวาน ช่อผกากรอง, เสน่ห์จันทร์, บุหลันดั้นเมฆ, ฝอยทองรังไหม, ผลไม้รวม ช่างมากมายอะไรปานนี้

 

• ล่องเรือโบราณชมเมืองอยุธยา

อิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็มาถึงไฮไลต์ของการเดินทางที่ทุกคนรอคอย การล่องเรือโบราณชมแม่น้ำน้อย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง จึงต้องเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย เพราะบนเรือไม่มีห้องน้ำ ทุกคนเดินตรงไปยังท่าเรือ เพื่อก้าวลงเรือ แล้วก็ตกตะลึงกับการตกแต่งภายในเรือ หรูหราโฮโซสไตล์เดียวกับร้านอาหาร พนักงานประจำเรือแต่งชุดไทย คอยให้บริการเครื่องดื่มและของว่าง อาทิ เมี่ยงคำ, ขนมเค้ก, ผลไม้ เรายังอิ่มมากเลยไม่ได้แตะต้องสิ่งใดๆ

เรือเคลื่อนตัวออกจากฝั่งสู่กลางแม่น้ำน้อย ด้านหน้ามีเรือที่ออกนำมาก่อนแล้ว 2 ลำ เราเป็นลำที่ 3 ส่วนเรือของเวียร์ ตามหลังมาเป็นลำที่ 4 ธรรมชาติสองข้างทางสงบร่มรื่น ต้นไม้หนาแน่น มองเห็นบ้านโบราณที่อยู่ริมฝั่ง เป็นการล่องเรือที่มีความสุข สงบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหยุดพักความวุ่นวายเร้นกายหายไปกับสายน้ำด้วยการนั่งสไลว์ไลฟ์ชิลๆ จิบไวน์ ล่องลอยไปเรื่อยๆ แบบอ้อยอิ่ง

เรือแล่นผ่านโรงสี วัดสีกุก บ้านทรงไทยริมน้ำ จนมาถึงปลายทาง เรือจะจอดให้ขึ้นไปสักการะหลวงพ่อปาน ที่ วัดบางนมโค สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พ.ศ.2310 และสักการะหลวงปู่พระพุทธเกสร ที่ วัดกระโดงทอง สร้างขึ้นสมัย พ.ศ.2400 โดยพ่อค้าเรือสำเภา ใช้เสากระโดงเรือปักไว้เป็นสัญลักษณ์เรียกกันว่าวัดเสากระโดงทอง ต่อมาถูกเรียกสั้นลงเหลือเพียง วัดกระโดงทอง เป็นอันจบการเดินทาง One Day Trip ครั้งนี้อย่างสมบูรณ์

(ร้านสุริยันจันทรา เปิดให้บริการรับประทานอาหารไทยโบราณริมแม่น้ำ ล่องเรือจิบไวน์ชมแม่น้ำน้อย เรือมีหลายขนาด ลำเล็ก 2-6 คน ลำใหญ่ 8-12 คน วันละ 2 รอบ คือ 9.00 และ 14.00 พร้อมอาหารว่างและเครื่องดื่มตลอดการเดินทาง SuriyanChandra AT Ayutthaya อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา)