'โควิด-19' ยังอยู่ ‘รัฐ-ประชาชน’ การ์ดอย่าตก
การไม่มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อในประเทศ ไม่ได้หมายความว่าไทยไม่มีเชื้อในประเทศแล้ว เคสดีเจที่พบการติดเชื้อภายในประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 100 วัน พิสูจน์แล้วว่าโควิดยังอยู่รอบๆ ตัว ดังนั้นสิ่งสำคัญการ์ดอย่าตก ขณะที่ภาครัฐควรสุ่มตรวจฃมากขึ้นและถี่ขึ้น
แม้ว่า “ไทย” จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดย “ไม่มีรายงานตรวจพบผู้ติดเชื้อในประเทศ” มาได้นับ 100 วัน แต่เมื่อ "เชื้อโควิด" ยังคงอยู่ และยังไม่มีวัคซีนปราบเจ้าไวรัสนี้ได้ สุดท้ายเราก็เสียสถิติ ตรวจพบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอยู่นอกสถานที่กักกัน 1 รายจนได้ เป็นชายอายุ 37 ปี เพิ่งต้องโทษเข้าเรือนจำ มีประวัติเป็นดีเจที่ร้านอาหารหลายแห่ง ทำให้ต้องตรวจสอบย้อนเส้นทางของดีเจผู้นี้ว่าเคยไปที่ไหน ทำอะไร กับใครมาบ้าง เพื่อให้กลุ่มเสี่ยงสูงเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจหาเชื้อ และกักตัว
ที่ผ่านมาเราอาจจะเริ่มชะล่าใจ ปล่อยตัวตามสบายในการดูแลสุขอนามัยของตัวเอง ภาครัฐเองก็คลายมาตรการล็อกดาวน์ในส่วนต่างๆ ทำให้กลับมาใช้ชีวิต ดำเนินธุรกิจได้เกือบเป็นปกติ คนไทยบางกลุ่ม หรือภาคบริการต่างๆ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน จึงเริ่มมีพฤติกรรม “การ์ดตก” เราเริ่มไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย เลิกล้างมือบ่อยๆ สามารถพ่นลมหายใจ ไอ จาม ใส่สิ่งรอบข้างได้อย่างเสรี แต่เราไม่รู้หรอกว่า “ตัวเรา” และสิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นคน ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได ลูกบิดประตู อาจมีโควิดปะปนอยู่ตลอดก็ได้
“การไม่มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อในประเทศ” ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีเชื้อในประเทศแล้ว” เคสดีเจนี้พิสูจน์แล้วว่า โควิดยังอยู่รอบๆ ตัวเรา ที่สำคัญ 80% ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ซึ่งขึ้นอยู่ที่ภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งของแต่ละคน ดังนั้นเราจะไม่รู้เลยว่า คนที่เราพูดคุย พบปะ ในสถานที่ต่างๆ นั้น เขามีเชื้ออยู่ในตัวหรือไม่ กลุ่มคนที่ยังน่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ ผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ หรือคนที่ร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าต้องช่วยกันระมัดระวัง ไม่เป็นตัวแพร่เชื้อไปสู่กลุ่มคนเหล่านี้ ดังนั้นการป้องกันสุขอนามัยของตัวเองยังจำเป็นอย่างที่สุด
ภาคบริการต่างๆ ยังคงต้องตั้งการ์ด มีมาตรการควบคุม คัดกรองผู้เข้าใช้บริการอย่างเคร่งครัด การรักษาความสะอาด การบันทึกที่มาที่ไปของผู้ใช้บริการเป็นเรื่องสำคัญ อย่าประมาท จงดูเคสดีเจ ล่าสุดนี้เป็นตัวอย่าง ขณะที่ภาครัฐเอง เราเห็นว่าควรมีการสุ่มตรวจภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ถี่ขึ้น และเฝ้าระวังให้มากขึ้น โดยเฉพาะตามสถานที่เปิดสาธารณะ ส่วนประชาชนเองยังต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นกิจวัตร ให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต ล้างมือ เว้นระยะห่าง เพราะจะทำให้การแพร่เชื้อต่ำ และเราจะสามารถอยู่กับเชื้อได้อย่างปลอดภัยจนกว่าจะมีวัคซีน
วันนี้ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม โรคระบาด โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ยังมองไม่เห็นการฟื้นตัวในระยะอันใกล้ กลับกันเรามองเห็นแต่วิกฤติเบื้องหน้าที่กำลังก่อตัวสร้างผลกระทบอย่างมหาศาล คนตกงานเพิ่มขึ้น หนี้เพิ่มสูงขึ้น “ทีดีอาร์ไอ” ประเมินตัวเลขล่าสุดว่า จำนวนผู้ตกงานปีนี้จะอยู่ที่ 3.5-4 ล้านคน และเชื่อว่าภาวะการจ้างงานจะยังไม่ฟื้นตัวไปจนถึงปี 2565 ดังนั้นเราต้องช่วยกัน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ร่วมกัน “ลดวิกฤติ” อย่าปล่อยให้ประเทศเผชิญวิกฤติมากมายจนเกินรับไหว