ทำไม? กรุงเทพฯ ไม่ต้องย้าย
ชวนไขปม "กรุงเทพฯ กำลังจะจมแน่แล้วหรือ?" ประเด็นคำถามที่มีมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีผลวิจัยว่ากรุงเทพฯเสี่ยงจมน้ำภายในปี 2050 หรือในอีก 30 ปีข้างหน้า รวมถึงไทยจำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงเช่นเดียวกับอินโดนีเซียหรือไม่?
"องค์กร Climate Central เผยผลวิจัยใหม่ เมืองใหญ่ที่เสี่ยงจมน้ำภายในปี 2050 หรือในอีก 30 ปีข้างหน้า มีทั้งเซี่ยงไฮ้ โฮจิมินห์ รวมทั้งกรุงเทพฯ ที่จะหายไปใต้ทะเล"
กลายเป็นกระแสข่าวที่สร้างความตื่นตัวอย่างมากบนสื่อโซเชียล และเกิดคำถามต่างๆ ตามมาว่า "กรุงเทพฯ กำลังจะจมแน่แล้วหรือ?"
เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เล่าลือและมีการเตือนๆ กันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางคนถึงกับซื้อที่ดินสร้างบ้านในจังหวัดพื้นที่สูงอย่างนครราชสีมา เพชรบูรณ์ ฯลฯ รอรับสถานการณ์ ขณะที่หลายๆ หน่วยงานวางแผนจะสร้างเขื่อน ทำถนนเพื่อกั้นน้ำทะเลไม่ให้ท่วมเข้ามา แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปในการวางแผนคือ การมองบริบทการจัดการน้ำแบบครบทุกมิติ ทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม แต่ “เราไม่เคยมีความฝันร่วมกัน ไม่เคยพูดออกมาชัดๆ ว่าเราอยากเห็นกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยเป็นอย่างไร เราอยากได้เมืองปริมณฑลทั้งเดลต้าทั้งหมดนี้เป็นอย่างไร”
นี่จึงเป็นที่มาของโครงการ "เจ้าพระยาเดลต้า 2040" (Chao Phraya Delta 2040) ซึ่งไม่ได้หมายเฉพาะที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะในมิติทางระบบนิเวศทางสังคม เจ้าพระยาเดลต้าย่อมเชื่อมไปถึงลุ่มน้ำอื่นๆ ทั้งลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำท่าจีน ทั้งหมดจะส่งผลกระทบกันหมดไปจนถึงอ่าวไทย
“การจะบริหารจัดการน้ำ เราจะคุยกันแต่ว่าน้ำทะเลจะขึ้น แล้วเสนอว่าจะต้องทำเขื่อน ทำนั่นทำนี่ โดยมองแต่มิติเดียว แต่ไม่มีการมาฝันร่วมกัน หรือเราต้องการไม่ให้กรุงเทพฯ น้ำท่วม ไม่ต้องการให้ปริมณฑลน้ำท่วม เราพยายามจะสร้างทางผันน้ำลงสู่ทะเล แต่มีใครถามไหมว่าปลาทูจะตายหรือเปล่า เมื่อมีน้ำจืดปริมาณมากไหลลงมาที่ทะเล ระบบนิเวศที่อ่าวไทยจะเป็นอย่างไร”
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าประเด็นกรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้ทะเลในอีก 30 ปีข้างหน้าที่ถูกจุดกระแสขึ้น สิ่งที่เร่งปฏิกิริยาให้เกิดดราม่าขึ้นบนสื่อโซเชียลคือ การประกาศย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตาไปเกาะบอร์เนียว ของประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายโจโก วิโดโด แต่ถ้าพิจารณาไปที่เมืองชายทะเล เช่น มัลดีฟส์ เมียนมา ฟิลิปปินส์
"เมืองชายทะเลเหล่านี้ ล้วนมีการพัฒนาเมืองสวนทางกับข่าวที่เกิดขึ้น อย่างกรณีที่ประเทศศรีลังกามีการถมทะเลทำเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ส่วนที่จาการ์ตาพบว่ามีเกาะที่ขยายออกไปจากเมืองหลวง มีการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ หรืออย่างกรณีเกาะมัลดีฟส์ ซึ่งมีพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ต่างจากประเทศไทย กลับมีนักลงทุนจากทั่วโลกแห่กันเข้าไปลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาล แล้วทำไมเขาไม่กลัวน้ำท่วม? ฉะนั้นประเด็นเหล่านี้ เราต้องดูให้ชัดว่า มันถูกขยายความออกไปจนกลายเป็นเรื่องเหนือความเป็นจริงหรือไม่?"
ถามว่าแล้วกรุงเทพฯ มีความเสี่ยงที่จะจมอยู่ใต้ทะเลอย่างจาการ์ตาไหม?
เมื่อขยายความเจาะลึกลงไปที่ “ชั้นดิน” "กรุงจาการ์ตามีชั้นดินไม่เหมือนไทย ที่จาการ์ตาดินไม่ดี มีชั้นดินที่หนากว่า แต่อ่อนกว่า ลงเสาเข็มไปอย่างไรก็ทรุด แต่ที่กรุงเทพฯ เราลงเสาเข็มไป 20 กว่าเมตรก็เจอดินแข็งแล้ว จึงไม่ทำให้อาคารเกิดการทรุดตัว นั่นคือประเด็นแรก
ประเด็นที่ 2 การสูบน้ำบาดาลมากเกินไปทำให้เกิดการทรุดตัว ข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งมีการทำหมุดวัดระดับการทรุดตัวของกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าระดับการทรุดตัวเป็นศูนย์หลายตำแหน่ง เพราะมาตรการจำกัดการใช้น้ำบาดาล รวมถึงการจัดการให้ทุกพื้นที่มีน้ำประปาใช้ทั่วถึง ทำให้ไม่มีการทรุดตัวของพื้นดินเพิ่มอีก โดยเมื่อก่อนที่ทรุดไปแล้วประมาณ 5-100 ซ.ม. เช่น แถวถนนรามคำแหง สุขุมวิท บางจุดที่จะพบว่าฝนตกเมื่อใดจะเกิดน้ำท่วมขังรอการระบาย
กรณีของจาการ์ตา “ดินทรุด” เป็นเหตุผลเพียงส่วนเดียว เหตุสำคัญที่นำมาเทียบเคียงกับเจ้าพระยาเดลต้าได้ก็คือ “การกระจายความเสี่ยงของเมือง” เนื่องจากปัจจุบันเมืองที่เป็นที่ทำการรัฐ กับเมืองที่เป็นเศรษฐกิจของประเทศอยู่ด้วยกัน การย้ายเมืองหลวงออกจึงง่ายต่อการบริหารจัดการกว่า ไม่ต้องถูกจำกัดด้วยพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอ
ส่วนที่ 2 คือแผ่นดินทรุด ซึ่งจาการ์ตาก็ยังเผชิญอยู่แต่ไม่มากตามที่เป็นข่าว แต่ปัญหาหนักคือ “คุณภาพของน้ำ” การที่มีแม่น้ำ 13 สายไหลเข้ามาที่จาการ์ตา แต่เป็นน้ำที่มีคุณภาพต่ำมาก ตามถนนหนทางตลอดจนในชุมชนแออัดล้วนเต็มไปด้วยน้ำเสีย การจัดการสิ่งแวดล้อม การจัดการเรื่องของคน ทุกอย่างขมวดเป็นปมใหญ่เหมือนเชือก ยากที่จะแก้ สุดท้ายแล้ว “การย้าย” น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ผมเข้าใจว่ากรณีที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เคยพูดถึงประเด็นนี้ ไม่ใช่การย้ายเมืองหลวง แต่คือการทำอย่างไรให้เกิดการกระจายตัว” ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมปฐพี บอกและว่า "กรุงเทพฯ ไม่จำเป็นต้องย้าย แต่ทำให้ดีขึ้นได้"
สิ่งสำคัญคือเราจะต้องเอาสิ่งที่กังวลใจคือ เรื่องน้ำท่วมจากน้ำเหนือและน้ำฝน ทั้งสองอย่างนี้ต้องหาวิธีแก้ให้ได้ก่อน ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิจัยมากมายที่ทำได้ เพียงแต่เราต้องเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเหล่านี้มาวาง แล้วเอาวัฒนธรรมรวมเข้าไป เช่นถ้าอยากให้พื้นที่หนึ่งเป็นแก้มลิง ทำอย่างไรให้พื้นที่นั้นน่าอยู่ แล้วชูวัฒนธรรมเข้าไปผสมผสาน คือทำอย่างไรก็ได้ให้คนที่อยู่มีความสุขนี่คือหัวใจหลัก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องเริ่มจากการฝันร่วมกันก่อน เป็นโจทย์ที่ยากที่สุดและเราไม่เคยทำมาก่อนเลยในประเทศไทย เราไม่เคยคุยกันว่าเราอยากจะมีประเทศเราเป็นอย่างไร เพื่อว่าการทำงานแบบเข็มมุ่งจะไปได้ถูกทิศถูกทาง และได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งไว้
“นั่นเพราะในเชิงเทคนิคเราสามารถทำได้ แต่ที่ผ่านมาเราเจอปัญหาขัดแย้ง เนื่องจากเราไม่ได้มีความฝันอันเดียวกัน” รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ สรุปทิ้งท้าย
สำหรับโครงการ "เจ้าพระยาเดลต้า 2040" (Chao Phraya Delta 2040) เป็นหนึ่งในโครงการวิจัยภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ซึ่งเป็นการบริหารงานวิจัยแบบใหม่ที่ก่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมให้ประเทศ มีทรัพยากรน้ำทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพที่สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต
-- จากบทความ "กรุงเทพฯไม่ต้องย้าย แต่ทำให้ดีขึ้นได้ 'เจ้าพระยาเดลต้า 2040' มีคำตอบ" โดย รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ คอลัมน์ CLIMATE@RISK ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 กันยายน 2563 --