'โควิด19' ระบาดในเมียนมา สายพันธุ์แพร่เร็วกว่าเดิม
คณบดีคณะแพทย์ ศิริราช เผยไวรัสก่อโรคโควิด-19ในเมียนมา ตัวเดียวกับระบาดในฝั่งตะวันตก สามารถเพิ่มจำนวนได้เร็วกว่า 20% ทำให้แพร่ได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดิม ย้ำคนไทยลักลอบข้ามแดนไม่กักตัว เพิ่มความเสี่ยงคนทั้งประเทศ ขอคนไทยยกการ์ดสูง ปฏิบัติตามคำแนะนำ
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563 ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 และการผลิตวัคซีนป้องกันว่า จากการถอดบทเรียนการระบาดของเมียนมาที่พบการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจากครั้งแรกที่เจอผู้ป่วยโควิดในเมียนมา 23 มี.ค. มาถึง 6 ธ.ค.2563 จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 200 เท่า และแพร่กระจายไปพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะการตามสอบสวนโรคประชาชนที่เดินทางจากพื้นที่ระบาดทำได้น้อยกว่า 50% อีกทั้งสายพันธุ์ที่แพร่ในเมียนมาเป็นคนละสายพันธุ์กับอู่ฮั่นที่ระบาดในช่วงแรก D614 แต่เมียนนมาเป็นสายพันธุ์ G614 ตัวเดียวกับที่พบแพร่ระบาดในประเทศแถบตะวันตกและทั่ววโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งความต่างคือสายพันธุ์ที่แพร่ในเมียนมา ตัวเชื้อสามารถเพิ่มจำนวนได้เร็วกว่า 20% ทำให้แพร่ได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดิม
“การที่มีคนไทยกลับจากประเทศเมียนมาเข้ามาประเทศไทย โดยไม่ยอมเข้าระบบและปกปิดข้อมูลตนเองจะเป็นอันตราย ไม่ใช่เฉพาะตัวเองแต่อันตรายถึงผู้อื่น ทั้งคนในครบครัว สังคม บุคคลากรทางการแพทย์ที่ให้การดูแล สถานการณ์ไทยวันนี้ทำให้เห็นว่าจุดอ่อนแม้แต่จุดเดียว อาจส่งผลมหาศาลต่อประเทศและส่งผลกระทบเชิงลบให้กับสังคม จึงขอความร่วมมือคนไทยยกการ์ดขึ้นสูง ใช้วัคซีนที่เรามีคือการปฏิบัติตามคำแนะนำ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด ให้ความร่วมมือลงทะเบียนเข้า-ออกเมื่อใช้สถานที่ ช่วยกันแนะคนรู้จักให้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง เพื่อให้เรามีภูมิป้องกันโควิดได้มทันทีโดยไม่ต้องรอวัคซีนที่ยังต้องใช้เวลาอีกนานไม่ต่ำกว่าครึ่งปีกว่าจะได้ใช้”ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า 3 ปัจจัยที่น่าห่วงขณะนี้ คือ อากาศเย็นที่ทำให้คนอยู่ในอาคารซึ่งเป็นพื้นที่ปิดและไม่สวมหน้ากากมากขึ้น ชายแดนที่มีการแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ทั้งเมียนมา มาเลเซีย โดยเฉพาะคนที่ลักลอบเข้ามาเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดการระบาดได้ และการชุมนุมต่างๆ แต่อยากให้เข้าใจและย้ำเตือน เพราะไม่มีใครชนะหากเกิดการระบาดขึ้น จึงอยากขอให้หลีกเลี่ยง ในส่วนของโรงพยาบาลขณะนี้ทุกแห่งได้เตรียมการรับมือแล้ว แต่ก็หวังจะไม่เกิดการระบาดรุนแรง ส่วนความคืบหน้าการผลิตวัคซีน ล่าสุดบริษัทต่างๆ ที่ผลิตใน 2 ล็อตแรกถูกจองหมดแล้ว สำหรับประเทศไทยที่มีข้อตกลงกับแอสตร้าเซนเนกา หากไทยได้รับข้อมูลองค์ความรู้มาเมื่อไหร่ ก็จะต้องผ่านกระบวนการผลิตอีก 4 เดือน และต้องผ่านการตรวจสอบจากอย.อีก 3 รอบใช้เวลาประมาณ 1 เดือน คาดว่าจะได้ฉีดครั้งแรกหลังเดือนพ.ค. 2564