ส่องทางออกคนรักทะเล เมื่อไทย 'ห้ามใช้ครีมกันแดด' ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศไทยออกกฎหมาย 'ห้ามใช้ครีมกันแดด' ในอุทยานแห่งชาติ ถือเป็นชาติแรกๆ ของโลกที่ออกกฎหมายนี้ ต่อจากรัฐฮาวาย สหรัฐฯ และสาธารณรัฐปาเลา เนื่องจากพบว่าครีมกันแดด มีสารเคมีก่อให้เกิด 'ปะการังฟอกขาว'
เมื่อ ‘ครีมกันแดด’ ตกเป็นจำเลยทางสังคม เพราะมีหลักฐานทางวิชาการชี้ชัดว่า สารเคมีบางชนิดก่อให้เกิดปัญหา ‘ปะการังฟอกขาว’ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ประเทศไทยได้ออกกฎหมายใหม่ ที่ห้ามนำเข้าและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ที่เรียกได้ว่า ‘พลิกโฉมอุตสาหกรรมสกินแคร์ทั้งระบบ’ ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงมือผู้บริโภค
รองศาสตราจารย์ ดร.ภณิดา ซ้ายขวัญ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TSE) ได้สะท้อนมุมมองของ ‘วิศวกรเคมี’ ที่มีต่อการบังคับใช้กฎหมายนี้ไว้อย่างน่าสนใจ เพราะมีหลายองค์ประกอบที่ต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งก่อนลงมือทำ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ “สารประกอบในครีมกันแดดเคมีที่เป็นอันตรายต่อแนวปะการัง” (พ.ศ. 2548) นักนิติเวชศาสตร์และนิเวศวิทยาจาก Haereticus Environmental Laboratory รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบรอยรั่วซึมของน้ำมันบนผิวน้ำในช่วง High Season ที่มีนักท่องเที่ยวตามแนวชายหาดกว่า 5,000 คน ซึ่งเมื่อนักวิจัยได้นำตัวอย่างน้ำทะเลในบริเวณหาดดังกล่าวไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ พบการปนเปื้อนของสารประกอบในครีมกันแดดเคมีบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อแนวปะการัง
ขณะเดียวกัน สารเคมีกับปัญหา ‘ปะการังฟอกขาว’ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมีงานวิจัยจากหลายประเทศที่ระบุว่า สารเคมีบางชนิด ก่อให้เกิดปัญหา ‘ปะการังฟอกขาว’ ซึ่งเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์กันแดดอยู่ 4 ชนิด ดังนี้
- Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3) (ออกซีเบนโซน หรือ บีพี 3)
- Octinoxate (Ethylhexyl Methoxycinnamate) (ออกทินนอกเซต)
- 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC) (สี่เอ็มบีซี)
- Butylparaben (บิวธิวพาราเบน)
โดยงานวิจัยในประเทศไทยส่วนใหญ่ ระบุตรงกันค่อนข้างชัดเจนว่า Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3) และ Octinoxate (Ethylhexyl Methoxycinnamate) ส่งผลกระทบต่อสารคุมรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต หรือ ดีเอ็นเอ (DNA) ของปะการัง โดยไปยับยั้งการสร้างเซลล์ใหม่
ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโต และก่อให้เกิดการฟอกขาวของปะการัง ส่วนงานวิจัยเกี่ยวกับ 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC) และ Butylparaben ถึงแม้จะไม่ได้ระบุสาเหตุที่ชัดเจนนัก แต่ในสาระสำคัญในประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ออกมาล่าสุด ถือว่าครอบคลุมสารเคมีทุกชนิดที่ส่งผลให้เกิด ‘ปะการังฟอกขาว’ แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ประเทศไทย กับกฎหมายห้ามใช้ครีมกันแดด
จากการตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับข้อกฎหมายห้ามใช้ครีมกันแดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทย ถือเป็นชาติแรกๆ ของโลกที่ออกกฎหมายนี้ ต่อจากรัฐฮาวาย (สหรัฐอเมริกา) และสาธารณรัฐปาเลา ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะ โดย TSE มองการเคลื่อนไหวทางกฎหมายนี้เป็น ปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของมนุษยชาติและการเปลี่ยนแปลงที่ดี
เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล โดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การคิดค้นผลิตภัณฑ์ ซึ่ง ‘วิศวกรเคมี’ ถือเป็นบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมสกินแคร์ (Skincare) ด้วยการขานรับข้อกฎหมาย และช่วยหาทางแก้ไขตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- ประกาศใช้ เริ่มวันที่ 4 ส.ค. 64
ทั้งนี้ กรณีราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เรื่องห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมี 4 ชนิดที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท เริ่มมีผลบังคับใช้วันแรก 4 ส.ค.ที่ผ่านมา
- สารกันแดดรุ่นเก่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การเติบโตของอุตสาหกรรมสกินแคร์ ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการนำสารเคมีทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้ผลลัพธ์จากการใช้งานดูเป็นธรรมชาติ แทนสารเคมีรุ่นเก่าที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง แต่ทำให้ผิวดูขาววอกไม่เป็นธรรมชาติ
แต่เมื่อมีกฎหมายใหม่ที่ห้ามใช้สารเคมีรุ่นใหม่เช่นนี้ ซึ่งทางออกที่ TSE มองว่าเหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลกิจกรรมทางทะเลที่ง่ายและใช้ได้ทันที คือ การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่ส่วนผสมของสารเคมีรุ่นบุกเบิกอย่าง ‘ไทเทเนียมไดออกไซด์’ (Titanium dioxide TiO2) และ ‘ซิงค์ออกไซด์’ (Zinc Oxide) โดยสังเกตได้จากฉลากที่กำกับข้างผลิตภัณฑ์ ซึ่งสารเคมีรุ่นบุกเบิกทั้ง 2 ชนิด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างแน่นอน
- แนะ ออกเครื่องหมายกำกับผลิตภัณฑ์
เมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จะพบว่ายังมีสารเคมีที่เป็นส่วนผสมจำนวนมากที่ส่งผลต่อการฟอกขาวของปะการัง อาทิ ส่วนผสมในสบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า เป็นต้น ซึ่งไม่รวมปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางสังคมอีกมากมาย แต่การมีกฎหมายห้ามใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีบางชนิดในพื้นที่อุทยาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องควบคู่กับการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าการตรวจสอบว่าผู้ใดใช้ ครีมกันแดด ที่มีสารเคมีต้องห้ามในพื้นที่อุทยาน เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก TSE จึงมีข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันการออกเครื่องหมายกำกับที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้งานได้มากขึ้น โดยไม่ส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตที่เคร่งครัดมากนัก
นั่นหมายถึง การใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดทั่วไปยังสามารถเลือกใช้สารเคมีที่มีขายทั่วไปได้อยู่ แต่เมื่อไหร่ที่มีความจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่อุทยาน ต้องควบคุมให้ใช้งานได้เฉพาะผลิตภัณฑ์กันแดดที่ ระบุว่า ‘ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล’ ซึ่งจะช่วยยกระดับการบังคับใช้กฎหมายใช้เป็นรูปธรรมและจับต้องได้มากขึ้น
- ‘วิศวกรเคมี’ กับโอกาสของคนรุ่นใหม่
กว่า 32 ปีแล้วที่ TSE ทำให้หน้าที่ในการมอบโอกาสและอนาคตที่ดีให้กับนักศึกษา ซึ่งหลักสูตรวิศวกรรมเคมี เป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ TSE ภาคภูมิใจ และมีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนสังคมตลอดมา โดยไม่ได้มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งเสริมทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงาน (Soft Skills) อย่างครบวงจร ซึ่งช่วยให้การทำงานในทุกขั้นตอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกทั้ง ยังมีความคิดริเริ่มในการพัฒนาธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์ โดยไม่ได้ยึดติดกับการเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการ ซึ่ง TSE มีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนยุคใหม่ให้มากขึ้น อาทิ การให้ความสำคัญกับ ‘โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน’ (Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG Economy) ที่เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขัน
โดยอยู่บนพื้นฐานของ ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืน’ (Sustainable Development Goal หรือ SDGs) ที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของสังคมในทุกมิติ เพื่อสร้างสมดุลของการเติบโตไปพร้อมกันแบบองค์รวม ซึ่งถือเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญและเป็นทักษะพื้นฐานที่มีความจำเป็นของ ‘วิศวกรเคมี’ ในปัจจุบัน และยังสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาของประเทศไทยอีกด้วย
“เพราะเรื่องเคมีไม่ได้จำกัดเฉพาะในห้องแลป แต่อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ซึ่งในโอกาสที่ฉลองครบรอบ 32 ปี เนื่องในวันคล้ายวันสภาปนาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ TSE (19 สิงหาคมของทุกปี) TSE มีความมุ่งมั่นที่จะส่งต่ออนาคตทางการศึกษาให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจด้านวิศวกรรมเคมี ให้พร้อมเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆรอบตัวและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่มีผลต่ออุตสาหกรรมสกินแคร์ ‘วิศวกรเคมี’ ต้องพร้อมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน” รองศาสตราจารย์ ดร.ภณิดา ซ้ายขวัญ กล่าวเสริมในตอนท้าย
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรวิศวกรรมเคมี พร้อมเงื่อนไขการเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ของ TSE สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.engr.tu.ac.th และ Facebook Fanpage ของ TSE ที่ www.facebook.com/ENGR.THAMMASAT