ภูเก็ตยอดโควิด-19เพิ่ม เกิดอะไรขึ้นที่“ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”
เกิดอะไรขึ้นในจ.ภูเก็ต? ต้นแบบการเปิดเมือง“ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังเดินมาราว 2เดือน กลับมีผู้ติดโควิด-19 เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่เมืองอื่นๆควรต้องเรียนรู้ก่อนตามรอยแผนเปิดเมือง เพื่อป้องกันไม่เกิดเหตุซ้ำรอย โดยเฉพาะ “กรุงเทพแซนด์บ็อกซ์”
ยอดจองเข้าพักกว่า 5 แสนคืน
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2564 ข้อมูลเกี่ยวกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)ภูเก็ต สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 ตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานภูเก็ต สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ ระบุว่า จำนวนคืนของผู้เข้าพักSHA+ ยอดการจองก.ค.-ก.ย.2564 จำนวน 541,760 คืน แยกเป็น เดือนก.ค. 190,860 คืน เดือนส.ค. 176,121 คืน และเดือนก.ย. 174,779 คืน ส่วนช่วงต.ค.2564-ก.พ.2565 มีการจองแล้ว 127,047 คืน
ขณะที่ จำนวนนักท่องเที่ยวสะสม 85 วัน ตั้งแต่ 1 ก.ค.-23 ก.ย. 2564 จำนวน 35,905 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 35,804 คน คัดกรองพบเชื้อ 101 คน ตรวจครั้งที่ 2 จำนวน 34,025 คน ไม่พบเชื้อ 33,993 คน คัดกรองพบ 32 คน ตรวจครั้งที่ 3 จำนวน 22,833 คน ไม่พบเชื้อ 22,826 คน คัดกรองพบ 7 คน
เหลือเตียงรองรับ 452
สำหรับสถานการณ์โควิด-19ในจ.ภูเก็ต ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันที่ 23 ก.ย. 2564 จำนวน 228 ราย เสียชีวิต 3 ราย ติดเชื้อสะสมระลอกเม.ย.2564 จำนวน 9,725 ราย รักษาหาย 5,789 ราย และคงรักษา 4,080 ราย
ส่วนสถานการณ์การใช้เตียงของจังหวัดภูเก็ต เตียงระดับ 3 รองรับผู้ป่วยสีแดง รวม 49 เตียง ครองเตียงรวม 35 เตียง คิดเป็น 71.43 % ว่าง 14 เตียง คิดเป็น 28.57 %
เตียงระดับ 2 ดูแลผู้ป่วยสีเหลือง รวม 418 เตียง ครองเตียง 347 เตียง คิดเป็น 83.1 % ว่าง 71 เตียง คิดเป็น 16.99 %
และเตียงระดับ 1 ดูแลผู้ปวยสีเขียว รวม 1,943 เตียง แยกเป็นรพ.สนามครองเตียง 364 เตียง คิดเป็น 78.11% ว่าง 102 เตียง คิดเป็น 21.89 % และฮอสพิเทล ครองเตียง 1,212 เตียง คิดเป็น 82.06 % ว่าง 265 เตียง คิดเป็น 17.94 %
ภาพรวมจำนวนเตียงในจังหวัด ทั้งหมด 2,410 เตียง ครองเตียง 1,958 เตียง คิดเป็น 81.24 % เตียงว่าง 452 เตียง คิดเป็น 18.76 %
ช่องโหว่ที่ทำให้ระบาด
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ถึงการถอดบทเรียนภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ว่า ได้เรียนรู้ว่ามาตรการสามารถป้องกันเชื้อโรคจากต่างประเทศมาภูเก็ตได้ค่อนข้างดี แต่ปัญหาที่เกิด คือ คนในพื้นที่เอง อาจมีการนำแรงงานทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายกลับเข้ามา โดยที่แรงงานกลุ่มดังกล่าวยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึง ไม่ได้เค่รงครัดในการดำเนินการตามมาตรการต่างๆที่กำหนดวางไว้
“ต้องเรียนว่า ไม่ใช่เพียงมาตรการสาธารณสุข แต่วินัยของทุกคนสำคัญที่สุด อย่างที่ท่านนายกฯ กล่าวในระหว่างการตรวจเยี่ยม จ.เพชรบุรี ว่า วินัยกับการจัดการของคนในพื้นที่สำคัญมาก หากทุกคนไม่ช่วยกัน คิดว่าปล่อยให้เข้ามา 1-2 คน ไม่เป็นอะไร แต่ถ้ารวมกันหลายคนก็เกิดปัญหาระบาดได้ ดังนั้น การจัดการกับความร่วมมือของคนในพื้นที่ ผู้ประกอบการในพื้นที่สำคัญที่สุด”นพ.โอภาสกล่าว
สิ่งที่ 5 จ.เป้าเปิดเมืองต้องพร้อม
นพ.โอภาส กล่าวด้วยว่า คนใน 5 จังหวัดนำร่องเปิดการท่องเที่ยว จะต้องเตรียมความพร้อมด้วยการดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ซึ่งที่ผ่านมามีการผ่อนคลายพอสมควร โดยสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น คือ การรับแรงงานต่างชาติที่ไม่ฉีดวัคซีนเข้ามาทำงาน หากจะรับแรงงานต้องตรวจสอบ แยกกักก่อน และฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน รวมถึง มาตรการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ก็ต้องทำให้ครบถ้วนด้วย อย่างร้านอาหารบางที่เรากำหนดให้นั่งรับประทานได้ 50% ของพื้นที่ แต่ก็เปิดให้นั่งเกือบ 100%
“ต้องร่วมมือทุกฝ่าย ลำพังจะให้เจ้าหน้าที่รัฐไปตรวจสอบทุกที่คงไม่ได้ ขอให้อดทนซักนิด หากสถานการณ์ดีขึ้น ก็จะค่อยๆ ผ่อนคลาย ร่วมกับการฉีดวัคซีนที่ค่อยๆ มากขึ้น ซึ่งท่านนายกก็เร่งการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้ได้ตามแผน ขณะนี้จะเห็นว่าเราฉีดวัคซีนได้เร็วกว่าแผน คือ เดิมสิ้นเดือนก.ย. ต้องฉีดวัคซีนได้ 40 ล้านโดส แต่ตอนนี้ฉีดได้กว่า 46 ล้านโดส เมื่อถึงสิ้นเดือนก็คาดว่าจะได้ 50 ล้านโดส ถือว่าเร็วกว่าแผนถึง 10 ล้านโดส ก็อาจจะทำให้สามารถผ่อนคลายมาตรการและเปิดเมือง เปิดประเทศได้เร็วขึ้น” นพ.โอภาส กล่าว
ลดวันกักตัวรับเดินทางเข้าไทย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2564 คณะกรรมการฯมีมติเห็นชอบการลดระยะเวลาการกักกันผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่ได้รับการกักตัวในสถานที่กักกัน หรือลดวันกักตัว จากเดิมที่ต้องกักกัน 14 วัน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ลดเหลือ 7 วัน สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส ตรวจหาเชื้อด้วยวิธีมาตรฐานRT-PCRก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย และเมื่อมาถึงประเทศไทยจะต้องตรวจหาเชื้ออีก 2 ครั้งในวันที่ 0 และวันที่ออกจากสถานที่กักกัน ทกช่องทางเข้าออกประเทศ
2. ลดเหลือ 10 วัน ในผู้ที่ไม่มีเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนครบโดส เมื่อถึงไทยต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธีRT-PCR 2 ครั้ง ในวันที่ 0-1 และวันที่ออกจากสถานที่กักกัน ในส่วนของการเดินทางอากาศ
และ3.กักตัวอย่างน้อย 14 วัน ในผู้ที่ไม่มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน และตรวจหาเชื้อด้วยวิธีRT-PCR 2 ครั้ง ในวันแรกที่มาถึงประเทศไทย และวันที่ 12-13 สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าทางบก เนื่องจากไม่มีการตรวจหาเชื้อมาก่อนและมีอัตราการติดเชื้อมากกว่าทางอากาศ โดยจะมีการเสนอศบค.เพื่อพิจารณาต่อไป โดยหลักจะใช้เกณฑ์เดียวกันในทุกประเทศ เว้นแต่จะมีเหตุการณ์อื่นๆเพิ่มเติม จะใช้อำนาจของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศเพิ่มเติมได้