เริ่มปี65 วัคซีนโควิด-19เข็ม 4 ถึงคิวกลุ่มไหนต้องฉีด
ปี 65 เดินหน้าฉีด วัคซีนโควิด-19 เข็ม 4 ใน 3 กลุ่ม ส่วนบุคคลทั่วไปประเมิน 2 อย่างประกอบ ย้ำไม่ต้องฉีดเร็วไปภูมิฯไม่ขึ้น ยิ่งฉีดห่างภูมิฯจะขึ้นดี
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 คณะอนุกรรมการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เห็นชอบเดินหน้าเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 4 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และผู้ป่วยกลุ่มโรคเรื้อรังที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และมีการรับวัคซีนเข็ม 3 มาแล้ว 3 เดือนแล้วขึ้นไป และเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2564 คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางให้ฉีดเข็มกระตุ้นดังกล่าว
ล่าสุด นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการฉีดเข็ม 4 ในกลุ่มประชาชนทั่วไปว่า นอกจากบุคคลากรทางการแพทย์แล้ว ตอนนี้ก็ฉีดเข็ม 4 ตามแนวทา งคือ ฉีดกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่า และจะมีการเจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อดูว่าฉีดวัคซีนแล้วให้ผลเป็นอย่างไร และดูสถานการณ์โอมิครอนประกอบกัน เรื่องนี้จะประเมินหลังปีใหม่อีกครั้งว่าจะมีการประกาศเพิ่มหรือไม่ก่อน โดยนำเข้าสู่อนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้นกัน เข้าใจว่า คนที่ฉีดเข็ม 3 ครบ 3 เดือนแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือนข้างหน้า ส่วนใหญ่อยู่พื้นที่ กทม. และตอนนี้ภูเก็ตเป็นอีกพื้นที่ที่มีการฉีดเข็ม 3 ได้ค่อนข้างเร็วก็จะใช้ตรงนี้เป็นโมเดลด้วย ทั้งนี้ ปัจจุบันทั่วโลกยังไม่มีใครฉีดเข็ม 4 ระยะห่างยังไม่สามารถบอกได้
เมื่อถามถึงกรณีภูมิฯ สูงเกินไปมีข้ออันตรายหรือไม่ เนื่องจากมีหลายคนตะบี้ตะบันฉีด นพ.โอภาส กล่าวว่า เป็นทฤษฎี แต่ฉีดเร็วไป ฉีดติดๆ กันภูมิไม่ขึ้น หรือขึ้นไม่ดี ยิ่งฉีดห่างภูมิฯ จะขึ้นดี ดังนั้นไม่ต้องไปฉีดติด ๆ กัน การที่จะต้องฉีดช่วงไหนนั้นต้องดู 2 อย่างประกอบกัน คือ ช่วงขึ้นกับช่วงที่โรคกำลังระบาด หากโลกไม่ระบาดก็สามารถเว้นระยะห่างในการฉีดได้เพื่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิได้ดีและอยู่ได้นาน แต่หากโรคกําลังระบาดก็จำเป็นจะต้องเร่งฉีดวัคซีน ส่วนกรณีที่บอกว่าฉีดวัคซีนมากแล้วจะเกิดอันตรายนั้นที่ผ่านมายังไม่มี มีแต่พูดถึงทฤษฎี
สำหรับสูตรในการใช้หากรับ ซิโนแวค 2 เข็ม ตามด้วยเข็ม 3 เป็นแอสตร้าฯ ก็ให้ฉีดเข็ม 4 เป็นแอสตร้าฯ หรือไฟเซอร์ ในกรณีที่แพ้แอสตร้าฯ
ส่วนผู้ที่รับ ซิโนแวค 2 เข็ม เข็ม 3 เป็นไฟเซอร์ เข็ม 4 ก็ขอให้เป็นไฟเซอร์ ซึ่งทุกอย่างเป็นตามความสมัครใจ
อย่างไรก็ตาม บุคลากรแพทย์ที่ประสงค์การฉีดเข้าชั้นผิวหนัง (intradermal) หรือครึ่งโดสก็สามารถทำได้
ส่วนการฉีดวัคซีนในปี 2565 มีแผนจัดบริการจำนวน 120 ล้านโดส เป็นแอสตร้าเซนเนก้า 60 ล้านโดส ไฟเซอร์ 30 ล้านโดส และอื่นๆ 30 ล้านโดส โดยจัดฉีดให้กับกลุ่มผู้ไม่เคยได้รับวัคซีนและประสงค์รับวัคซีน จำนวน 1.2 ล้านคน ,ผู้ที่อายุครบ 12ปีบริบูรณ์ รับวัคซีนผ่านสถานศึกษา จำนวน 0.7 ล้านคน ,กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จำนวน 5 ล้านคน ,เข็มที่ 3 ในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ จำนวน 41 ล้านคน ,เข็มที่ 4 ในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ จำนวน 54 ล้านคน ,เข็มกระตุ้นผู้ที่เคยติดเชื้อ จำนวน 1.5 ล้านคน และสำรองส่วนกลางสำหรับตอบโต้การระบาดจำนวนหนึ่ง