เช็คก่อนมีลูก "เด็กเกิดใหม่" 1 คน ต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง
เปิดค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ "คนไทย" อยากมีลูก 1 คน ต้องเตรียมเงินค่าอะไรบ้าง ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมหลายด้านที่ทำให้คู่รักยุคใหม่มีลูกกันน้อยลง ขณะที่อัตราการเกิดในไทยต่ำลงเรื่อย ๆ ใน 5 ปีหลังสุด
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องงดจัดกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากนั้น ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียนยังชี้ว่า ผู้คนวางแผนมีบุตรลดลง คาดเพราะความกังวลในหลาย ๆ ด้าน อาทิ การตกงาน, บริษัทล้มละลาย และค่าใช้จ่ายรายวัน เป็นต้น
เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2562 ไทยมีการแจ้งเกิดลดลงอย่างเห็นได้ชัดคล้ายคลึงกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
เด็กเกิดใหม่ในไทยลดฮวบต่อเนื่อง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สำรวจข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับอัตราการเกิดของคนไทยในช่วง 5 ปีหลังสุด (ปี 2560-2564) พบว่า จำนวนเด็กแรกเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขสถิติดังต่อไปนี้
ในปี 2564 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 544,570 คน ลดลง 7.28% จากปีก่อนหน้า
ในปี 2563 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 587,368 คน ลดลง 4.98% จากปีก่อนหน้า
ในปี 2562 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 618,193 คน ลดลง 7.22% จากปีก่อนหน้า
ในปี 2561 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 666,357 คน ลดลง 5.17% จากปีก่อนหน้า
ในปี 2560 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 702,755 คน ลดลง 0.18% จากปีก่อนหน้า
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ iPrice Group บริษัทวิจัยชั้นนำแห่งอาเซียน จึงรวบรวมข้อมูลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าต่อทารกหนึ่งคน และแนวโน้มความสนใจของผู้คนที่จะซื้อสินค้าเหล่านี้ทางออนไลน์มาวิเคราะห์โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
เตรียมขั้นต่ำ 33,000 บาทต่อเด็ก 1 คน
จากการเก็บข้อมูลราคาสินค้าสำหรับแม่และเด็กบนแพลตฟอร์มของ iPrice Group ในแต่ละประเทศ พบว่า คาร์ซีท, รถเข็นเด็ก, ของเล่น 5 ชิ้น, เปลเด็ก และอื่น ๆ มีมูลค่ารวมกว่า 1,148 ดอลลาร์ (ประมาณ 38,000 บาท) และยังมีสินค้าที่จำเป็นต้องซื้ออีกหลัก ๆ 3 รายการคือ ผ้าอ้อม, ผ้าเช็ดทำความสะอาด และนมผง มีมูลค่าขั้นต่ำกว่า 32 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,000 บาท) ยิ่งกว่านั้นสินค้าเหล่านี้อาจต้องซื้อเป็นรายสัปดาห์
จากผลสำรวจอาจกล่าวได้ว่า การเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 1 คน ควรเตรียมเงินไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ (33,000 บาท) ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย หรือข้าวของเครื่องใช้ยามฉุกเฉินอื่น ๆ นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจคือค่าแรงขั้นต่ำของชาวฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ที่น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
ชาวเวียดนามมีค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 185 ดอลลาร์ (ประมาณ 6,000 บาท) และ 314 ดอลลาร์ (ประมาณ 10,440 บาท) สำหรับค่าแรงขั้นต่ำของชาวฟิลิปปินส์ นั่นหมายถึงชาวเวียดนามผู้มีค่าแรงขั้นต่ำต้องออมเงินเดือนกว่า 5.5 เดือน และชาวฟิลิปปินส์ออมต้องออมกว่า 3 เดือน เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการเลี้ยงเด็กแรกเกิด 1 คน
สถานการณ์ในเวียดนามและฟิลิปปินส์ คล้ายคลึงกับชาวไทยที่มีค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 9,000-10,000 บาท เท่ากับต้องออมเงินกว่า 3 เดือน เหมือนกับชาวฟิลิปปินส์
ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด ส่งผลกระทบให้หลายคนขาดแคลนรายได้และตกงาน จึงส่งผลต่อการคุมกำเนิดทำให้อัตราการแจ้งเกิดช่วง 2 ปี ในยุคโควิด-19 ลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด
“สินค้าแม่และเด็ก” คนสนใจสูงถึง 127%
แม้ว่าอัตราการเกิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะลดลง แต่ในด้านการซื้อสินค้าออนไลน์สำหรับเด็กกลับมีผู้คนสนใจยิ่งขึ้น ซึ่ง iPrice Group ได้เก็บข้อมูลความสนใจต่อสินค้าแม่และเด็กจาก Google Analytics ในแพลตฟอร์มของ iPrice Group ครอบคลุม 6 ประเทศในภูมิภาค ได้แก่ สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย พบว่า สินค้าในหมวดหมู่ของเล่นเด็กได้รับความสนใจมากที่สุด โดยมีผู้คนสนใจเพิ่มขึ้นถึง 222% รองลงมาคือผ้าอ้อมเด็ก 160% และอุปกรณ์ดูแลเด็ก 127%
iPrice Group คาดว่า อาจเป็นเพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เด็ก ๆ ไม่สามารถออกไปผ่อนคลายนอกบ้านได้อย่างอิสระ ผู้ปกครองจึงต้องปรับตัวซื้อสินค้าออนไลน์เพื่อนำสร้างความบันเทิงคลายความเครียดให้เด็ก ๆ
สำหรับข้อมูลดังกล่าว iPrice Group เก็บข้อมูลความสนใจต่อสินค้าสำหรับแม่และเด็กจาก Google Analytics ครอบคลุม 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 ต.ค. 2564 และนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลในช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2563
“โต๊ะเรียนเด็ก” ฮิตช่วงเรียนออนไลน์
อัดนาน ปูตีลา นักวิเคราะห์จาก iPriceGroup ระบุว่า นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในยุคนิวนอร์มอล (New Normal) ที่เลี่ยงไม่ได้กับการเรียนออนไลน์ในช่วงโควิด-19 ไม่ว่าจะด้วยผู้ปกครอง ผู้สอน หรือผู้เรียน ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคออนไลน์มากขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พื้นที่ในการเรียนออนไลน์ของเด็ก เพราะคงไม่มีผู้ปกครองคนไหนอยากให้บุตรหลานเผชิญสภาวะออฟฟิศซินโดรมตั้งแต่เด็กแน่นอน จึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ iPrice Group ที่พบว่า ในปี 2564 สินค้าในหมวดหมู่แม่และเด็กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ คือ “โต๊ะเรียนสำหรับเด็ก” รองลงมาเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น นมผง และผ้าอ้อมสำเร็จรูป เป็นต้น
สำหรับข้อมูลดังกล่าว iPrice Group เก็บข้อมูลความสนใจต่อสินค้าสำหรับแม่และเด็กจาก Google Analytics ครอบคลุม 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -31 ต.ค. 2564 เน้นเฉพาะสินค้าสำหรับเด็กอายุระหว่าง 0-3 ปี รวมไปถึงสินค้าสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เท่านั้น
------------------------
ที่มาข้อมูล : iPrice Group