เริ่ม 1 มี.ค. สธ.ปลด “โรคโควิด-19” ออกจากป่วยฉุกเฉิน ติดเชื้อรักษาตามสิทธิ
สธ.เตรียมปลด “โรคโควิด-19” ออกจากป่วยฉุกเฉินรักษาได้ทุกที่ ติดเชื้อรักษาได้ตามสิทธิ พร้อมปรับอัตรารัฐจ่ายชดเชยค่าตรวจหาเชื้อ - ฮอสพิเทลลดลง เริ่ม 1 มี.ค.นี้ เผยยอดผู้ป่วยหนัก - เสียชีวิตโควิด-19 ต่ำกว่าเดิม 10 เท่า ก่อนอายุ 60 ปี อัตราเสียชีวิตต่ำกว่า 0.1%
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม ศบค. ในวันที่ 11 ก.พ.ว่า ตนจะเข้าร่วมประชุม ไม่ได้หลบ ทั้งนี้ เตรียมที่จะออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกการกำหนดให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 เป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมถึง กำหนดค่าตรวจหาเชื้อที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จะจ่ายชดเชยให้สถานพยาบาล โดยหากใช้วิธี RT-PCR จะอยู่ที่ 900 บาทและ1,100 บาท ขึ้นกับวิธีการตรวจ
ส่วนตรวจด้วย ATK อยู่ที่ 250 และ 350 บาทขึ้นกับเทคนิคของชุดตรวจและปรับอัตราการกรณีรักษาในฮอสพิเทลอยู่ที่ 1,000 บาทต่อวัน เท่ากับกรณีการแยกกักตัวเองที่บ้าน(Home Isolation) ทั้งหมดจะมีผลในวันที่ 1 มี.ค.2565 อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ติดเชื้อยังเข้ารับการรักษาได้ฟรีตามสิทธิหลักประกันสุขภาพของแต่ละบุคคล ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ ก็เป็นการเข้าระบบรักษาพยาบาลปกติเหมือนโรคอื่น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ป่วย “โควิด” จะไม่ใช่ “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” เตรียมปรับสู่ “โรคประจำถิ่น” จะมีอะไรเปลี่ยนบ้าง
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องความพร้อมของระบบสถานบริการ รพ.เครื่องมือต่างๆ รมช.สธ. เป็นประธานบริหารสถานการณ์นี้อยู่แล้ว ประชุมทุกสัปดาห์ที่กรมการแพทย์ก็ยังยืนยันว่า เรื่องจำนวนสถานพยาบาล ทรัพยากรที่จะนำมาใช้ดูแลผู้เจ็บป่วยโควิดก็ยังมีความพร้อมอยู่เต็มที่ แต่เวลาทำการควบคุมสถานการณ์โรคระบาด ในบางช่วงก็ต้องไปดูเรื่องการติดเชื้อกรณีที่เชื้อยังมีความรุนแรงอยู่ เมื่อมีการกระจายวัคซีนไปแล้ว มีการใช้ระบบ HI มีความพร้อมของสถานพยาบาลแล้ว การที่จะไปโฟกัสอยู่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อมันก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นการโฟกัสตรงการควบคุมผู้ป่วยที่มีอาการหนัก แล้วคุมจำนวนผู้เสียชีวิต ก็ไปดูในจำนวนผู้เสียชีวิต
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมากกว่า 80% ในทุกวัน คือ ผู้ที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงสูง มีโรคประจำตัว และไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งการที่จะแก้ไขตรงนี้ได้ก็คือ มารับวัคซีนกันอย่างถ้วนหน้า รับวัคซีน 2 เข็มไปแล้ว ตอนนี้มีบูสเตอร์โดสแล้ว ฉีดไปเกิน 20 ล้านคนแล้ว เกินครึ่งแล้ว ส่วนผู้เสียชีวิตก็ต้องทำตามกฎสากล อาจจะป่วยด้วยโรคอื่น แต่มีติดเชื้อโควิดด้วยก็ต้องรายงานว่าเสียชีวิตจากโควิด-19
"ที่สำคัญคือ ถ้าเทียบสถานการณ์ปีต่อปี ปีที่แล้ว กับปีนี้ สิ่งที่มันต่างกันก็คือ ปีที่แล้วไม่มีวัคซีน พอมีการติดเชื้อระบาดขึ้นมากก็จะมีผู้ป่วยอาการหนักมากขึ้น เสียชีวิตจำนวนมาก แต่พอได้รับวัคซีน มีระบบ HI การเปิดเตียงในรพ.เพื่อให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้สถานพยาบาลจริงๆ ก็ทำให้ประคับประคองได้”นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการประชุม ศบค. 11 ก.พ.65 จะไม่เสนอเพิ่มอะไร นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องหารือแน่นอน เพราะว่า วันนี้ติดเชื้อก็เกือบ 15,000 ราย ก็ต้องมีการพูดคุย ไม่ใช่ไปบอกว่าเฉยๆ ไม่เป็นอะไร ถ้าเทียบก่อนสิ้นปีถึงปัจจุบัน เดือนครึ่งผู้ติดเชื้อขึ้นมาประมาณ 5 เท่า แต่ป่วยหนักกับเสียชีวิต จำนวนคนยังเท่าเดิม ก็เท่ากับลดลงไป 5 เท่าเหมือนกัน ซึ่ง สธ.ไม่มองตรงนั้น เรามองคน เราไม่ได้มองเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มองร้อยละ ก็ทำทุกอย่างขอให้รักษาชีวิตคนได้ ขอให้คนไม่เจ็บป่วยอาการหนักได้ นี่คือ เป้าหมายที่สำคัญของ สธ.
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)เตรียมรองรับสถานการณ์มาตลอดอยู่แล้ว เตรียมสถานพยาบาล การควบคุมโรค ก็มีระบบ VUCA อยู่แล้ว การฉีดวัคซีนเร่งปฏิบัติอยู่แล้ว จะเห็นวัคซีนเข็ม 3 ขณะนี้เร็วมาก ฉีดได้มากกว่า 20% แล้ว ,UP ประชาชนทุกคน ก็ได้รับความร่วมมือใส่หน้ากากกันทุกคน แต่อาจจะมีบางกลุ่มที่ขาดความรับผิดชอบบ้าง ไปกินดื่มสุราแล้วเกิดคลัสเตอร์ ,COVID Free Setting ขณะนี้มีมาก อยากขอความร่วมมือสถานประกอบการทุกแห่ง ถ้าทำได้ ก็จะช่วยให้สถานที่นั้นเป็นสถานที่ ที่ปลอดภัย และการตรวจ ATK เป็นระยะ
“ส่วนตัวเลขการติดเชื้อ ถ้าวางแผนให้เป็นในโรคประจำถิ่น การรายงานการติดเชื้อก็ไม่มีความจำเป็น มิเช่นนั้นก็จะมาถามตัวเลขติดเชื้อเพิ่มขึ้น ลดลง แต่ว่าจริงๆ แล้วความหมายของระบบสาธารณสุขต่อการติดเชื้อก็คือ การดูแลผู้ป่วยหนัก และเสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตก็ไม่ได้ขึ้น ไทยเคยมีผู้ป่วยหนักปอดอักเสบถึงวันละ 6,000 กว่า นอนICU อยู่ประมาณ 1,200 ตอนนี้มีผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่เพียง 110 คน ต่ำกว่าสมัยก่อนถึง 10 เท่า ผู้ป่วยปอดอักเสบ 500 กว่าคนต่ำกว่าสมัยก่อน 10 เท่าเช่นเดียวกัน บวกกับ ได้มีระบบรองรับ ขณะนี้เตียงใน รพ.เหลืออยู่กว่า 70% ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการให้ประชาชนแยกกักตัวที่บ้านหรือในชุมชน(HI/CI) ได้ด้วยตนเองจะดีมาก”นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า จากตัวเลขที่พบว่าผู้ที่มีอาการรุนแรงมีราว 3-4% เสียชีวิตต่ำกว่า 0.2% และมีความแตกต่างตามช่วงอายุด้วย ช่วงอายุก่อน 60 ปีเสียชีวิตต่ำกว่า 0.1% ถ้าเกิน 60 ปีขึ้นไปก็จะสูงขึ้นตามช่วงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง 70 กว่าปีขึ้นไป ก็จะเสียชีวิตมาก จึงอยากให้ลูกหลานช่วยกันพาคนที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มาร่วมใจกันฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกัน แม้ป้องกันการติดไม่ได้ 100% แต่ป้องกันการป่วยหนักและการตายได้ 98-99%
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์