เปิดเงื่อนไข "สัญชาติไทย" เข้าระบบ "Test & Go" มีขั้นตอนอย่างไร
เช็คขั้นตอน การลงทะเบียน และเงื่อนไข สำหรับ ประชาชน "สัญชาติไทย" ที่ต้องการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ในระบบ "Test & Go" ต้องเตรียมเอกสาร การเดินทาง และมีขั้นตอนอย่างไร พร้อมไขข้อสงสัยทำไม "Test & Go" ต้องตรวจ RT-PCR ถึง 2 ครั้ง
หลังจากที่ ทางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ได้เริ่มให้กลับมาลงทะเบียนเข้าราชอาณาจักร ในระบบ Test & Go อีกครั้ง ในวันที่ 1 ก.พ. 2565 หลังมีการระงับการลงทะเบียนเข้าราชอาณาจักร 63 ประเทศ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 โดยหลักเกณฑ์การเดินทางของผู้ที่สัญชาติไทย มีดังนี้
เงื่อนไขผู้เดินทาง คนไทย "ไม่ต้องซื้อประกัน"
- เดินทางได้จากทุกประเทศ/ พื้นที่
- ครบตามเกณฑ์ฉีดวัคซีน อย่างน้อย 14 วัน ก่อนเดินทาง
- ผู้ติดเชื้อหายแล้ว หลักฐานการได้รับวัคซีน 1 เข็ม หลังติดเชื้อ (พร้อมใบรับรองแพทย์ว่าหายแล้ว)
- อายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ต้องมีหลักฐานการได้รับวัคซีน (ต้องลงทะเบียนและเดินทางพร้อมกับผู้ปกครอง)
- บุคคลสัญชาติไทยไม่ต้องซื้อประกันภัย
- มีหลักฐานการชำระเงินค่าโรงแรม SHA Extra+ / AQ จำนวน 2 ครั้ง (วันที่เดินทางถึง และวันที่ 5) สามารถจองโรงแรมต่างกันได้
การลงทะเบียน และ เอกสาร
ลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass (ควรลงทะเบียนล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันเดินทางจริง)
เอกสาร ได้แก่
- หนังสือเดินทาง
- หลักฐานการได้รับวัคซีน (สามารถใช้เอกสาร EU DCC 2/2 เป็นหลักฐานการฉีดวัคซีนทั้งเข็ม 1 และ 2)
- หลักฐานการจ่ายค่าโรงแรม SHA Extra+ / AQ จำนวน 2 ครั้ง (วันที่เดินทางถึง และวันที่ 5 ค่าตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง และพาหนะรับส่งจากสนามบิน โดยจองโรงแรมต่างกันได้)
- ใบรับรองแพทย์กรณีเป็นผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว ซึ่งได้รับวัคซีน 1 เข็มหลังติดเชื้อ
การตรวจหาเชื้อโควิด-19 (ก่อนเดินทาง)
- มีผลการตรจเชื้อโดยวิธี RT-PCR ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทาง หรือ ในกรณีที่มีผลตรวจเป็นบวก ต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันว่า เป็นผู้เคยติดเชื้อและหายแล้ว (ติดเชื้อมาแล้วไม่น้อยกว่า 14 วัน แต่ไม่เกิน 3 เดือน)
- อายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่ต้องมีผลการตรวจหาเชื้อ แต่ต้องเดินทางพร้อมผู้ปกครอง
เมื่อเดินทางถึงไทย
ตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 1 เมื่อเดินทางถึงประเทศไทย (วันที่ 1)
- เข้ารับการตรวจฯ ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมที่พัก หรือ สถานที่อื่นๆ ที่กำหนด และรอผลตรวจในห้องพัก
- หากผลเป็นลบ สามารถเดินทางไปทั่วประเทศ และเข้ารับการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ในวันที่ 5
ตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ระหว่างพำนักในประเทศไทย (วันที่ 5)
- เข้ารับการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ณ โรงแรมที่พัก หรือ สถานที่อื่น ที่กำหนด และรอผลตรวจในห้องพัก
- หากผลเป็นลบสามารถเดินทางไปทั่วประเทศ
ทำไม Test & Go ต้องตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง
ทั้งนี้ จากการปรับข้อปฏิบัติ สำหรับผู้เดินทางเข้าไทยในระบบ Test & Go จากเดิมที่ให้มีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบจากประเทศต้นทาง ใน 72 ชั่วโมง และหลังจากเข้าไทยก็ ตรวจ RT-PCR ครั้งเดียว มาเป็นการตรวจ 2 ครั้ง โดยเพิ่มในวันที่ 5 นั้น
นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค อธิบายว่า ตอนนี้อัตราการติดเชื้อในต่างประเทศค่อนข้างสูง ดังนั้น มีโอกาสสูงมากที่คนที่เดินทางเข้ามาในไทย มีโอกาสติดเชื้อและนำเชื้อเข้ามาในไทยได้
การตรวจหาเชื้อ RT-PCR ในผู้ที่เดินทางเข้ามาในระบบ "Test & Go" จึงจำเป็นต้องมีทั้งการตรวจก่อนเข้าประเทศไทยภายใน 72 ชั่วโมง และ เมื่อเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องตรวจ 2 ครั้ง คือ วันที่เดินทางเข้าถึงประเทศไทย ในวันแรก เพื่อสร้างความมั่นใจว่า จะไม่ได้ติดเชื้อระหว่างการเดินทาง แต่เนื่องจากระยะฟักตัวของโรค คือ 5-7 วัน ดังนั้น การเดินทางเข้าไทยในวันที่ 0 หรือวันที่ 1 อาจจะยังไม่เจอเชื้อ จำเป็นต้องมีการตรวจครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 หรือ วันที่ 6 ก่อนเข้าระบบ "Test & Go" ที่จะเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ต่อไป เพราะฉะนั้น วันที่ 5 หรือ 6 จึงต้องตรวจอีก 1 ครั้ง
"ทั้งนี้ ในระบบ "Test & Go" พบว่า ในรอบปีที่ผ่านมา มีการตรวจแค่ 1 ครั้ง และมีเปอร์เซ็นต์การหลุดออกไป เมื่อติดเชื้อ ทำให้มีการแพร่เชื้อ ไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เขาเดินทางไป หากมีการตรวจครั้งที่ 2 จะเป็นอีกเครื่องมือในการทราบความเสี่ยง หากติดเชื้อ อาจจะเป็นผลมาจากการเดินทางมาจากต่างประเทศ เพื่อรีบเข้ารับการรักษา และเป็นผลดีกับผู้ที่เดินทางเข้าไทย รวมถึงคนในครอบครัว และป้องกันคนอื่นๆ รอบข้าง ให้ไม่ติดเชื้อเพิ่มเติม" นพ.จักรรัฐ กล่าว
ยอดติดเชื้อ "Test & Go" 3 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับ รายงานผู้เดินทางจากต่างประเทศ เข้าราชอาณาจักรไทย ในระบบ Test & Go ข้อมูล ณ วันที่ 16 ก.พ. 65 จาก กรมควบคุมโรค พบว่า
- ธ.ค. 64 ระบบ Test & Go สะสม 240,552 ราย ติดเชื้อ 923 ราย (0.38%)
- ม.ค. 65 ระบบ Test & Go สะสม 70,704 ราย ติดเชื้อ 2,693 ราย (3.81%)
- 1-15 ก.พ. 65 ระบบ Test & Go สะสม 51,270 ราย ติดเชื้อ 459 ราย (0.90%)