7 กลุ่มเสี่ยง เด็กติดโควิด19 อาการรุนแรง
เด็กติดโควิด19 มากขึ้นเพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนโควิด19หลังกลุ่มอื่นหรือยังไม่ได้ฉีด แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการหรืออาการน้อย ในกลุ่มนี้ที่ไม่มีโรคประจำตัว สามารถดูแลที่บ้าน(Home Isolation:HI) ได้ แต่มี 2 อาการที่ต้องเฝ้าสังเกต และ7กลุ่มเสี่ยงที่จะอาการรุนแรง
สถานการณ์เด็กติดโควิด
การระบาดของ SARS CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การติดเชื้อสะสมในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งแต่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 สูงถึง 77,635 ราย คิดเป็น 21 %ของผู้ติดเชื้อในทุกกลุ่มอายุ
เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2565 นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิด- 5 ขวบรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาติดโควิด19 สูงมากขึ้นกว่า 6,000 กว่าคน สูงตามช่วงวัยอื่นๆ โดย6 จังหวัดที่พบติดเชื้อสูงสุดคือ กทม.นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ยอดสะสม ตั้งแต่ 1 เม.ย.2564ถึงปัจจุบัน ติดเชื้อ 107,059 คน เสียชีวิตสะสม 29 คน เกินครึ่งมีโรคประจำตัว สาเหตุการติดเชื้อมาจากการสัมผัสผู้ติดเชื้อในครอบครัวที่เป็นผู้รับเชื้อมาจากนอกบ้าน เด็กเล็กยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ขาดความใส่ใจในสุขอนามัย
อาการเด็กติดโควิด19
เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2565 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ออกคำแนะนำฉบับเบื้องต้น การดูแลรักษา COVID-19 ในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า15 ปี
(COVID-19 Interim Guidance: Management of Children with COVID-19) 22 กุมภาพันธ์ 2565 ระบุว่า ในการระบาดของเชื้อโอมิครอน พบผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงและการเสียชีวิตน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆที่ผ่านมา และจากการติดตามผู้ป่วยเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ หรืออาการน้อย สามารถให้การดูแลที่บ้านได้ โดยให้การรักษาแบบประกับประคอง ส่วนน้อยมากที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส หรือต้องนอนโรงพยาบาล
2 ระดับอาการเด็กติดโควิดต้องเฝ้าสังเกต
นพ.ธีรชัย บุญยะลีพรรณ รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอนามัยเด็กแห่งชาติ กรมอนามัย กล่าวว่า พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ต้องคอยสังเกตอาการโดยรวมของเด็ก อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
แบบที่ 1 อาการในระดับที่เฝ้าสังเกตที่บ้านต่อไปได้ คือ มีไข้ต่ำ มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลียเหมือนหวัด บางรายอาจมีผื่น เบื่ออาหารหรือท้องเสีย ไม่มีอาการหอบเหนื่อย ยังคงกินอาหารหรือนมได้ปกติและไม่ซึม
แบบที่ 2 อาการที่ควรติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำเด็กส่งรพ.โดยเร็ว คือ ไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ ใช้แรงในการหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94 % ซึมลง ไม่ดูดนมและไม่กินอาหาร
เด็กเล็กต่ำกว่า 1 ขวบให้สังเกตที่การกิน ดื่มนม ส่วนเกิน 1 ขวบให้สังเกตุที่การเล่น ถ้าพฤติกรรมดังกล่าวต่ำกว่า 50-60 % ควรนำพบแพทย์ กรณีเด็กติดเชื้อแยกกักดูแลที่บ้าน สิ่งสำคัญคือการเว้นระยะห่างโดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยง
เด็กอายุเกิน 2 ปีแนะนำให้เด็กใส่หน้ากากอนามัย และอย่าเปิดแอร์นอน ควรเปิดโล่ง และแยกของใช้ส่วนตัว หากมีไข้ให้พยายามเช็ดตัวเป็นระยะมากกว่ากินยาพารา ส่วนใหญ่ 1-2 วันไข้ลด และพยายามทำกิจกรรมเล่นกับลูก
กรณีเด็กเล็กต่ำกว่า 5 ปีติดเชื้อที่เข้ารักษาในรพ.ฮอลพิเทลหรือ CI จะให้ผู้ปกครองเข้าไปดูแลด้วย กรณีพ่อแม่ติดเด็กไม่ติดจะให้ญาตินำเด็กไปดูแล หากไม่มีญาติให้ประสานบ้านพักเด็กช่วยดูแลเล็ก
เด็กติดโควิดไม่มีอาการดูแลที่บ้านได้
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย พิจารณาร่างแนวทางการรักษาโควิด-19 ในเด็กให้เหมาะกับการระบาดในขณะนี้ ซึ่งแม้จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ส่วนใหญ่สามารถรักษาโดยพักอยู่ที่บ้านได้ ซึ่งจะเหมาะกับผู้ติดเชื้อที่เป็นเด็ก โดยคำแนะนำนี้เป็นฉบับเบื้องต้น ซึ่งจะมีการออกคำแนะนำฉบับสมบูรณ์ต่อไป
ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (probable case) ผู้ที่มีผลตรวจ ATK ต่อเชื้อไวรัส SARS-COV-2 ให้ผลบวก และผู้ติดเชื้อยืนยัน (confirmed case) ทั้งผู้ที่มีอาการและไม่แสดงอาการ ให้ใช้ยาในการรักษาจำเพาะดังนี้
1. ผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ไม่มีอาการ (Asymptomatic COVID-19)
ㆍ ไม่แนะนำยาต้านไวร้ส สามารถให้การดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้านได้ อาจ ไม่จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ Home isolation หรือรับการรักษาในโรงพยาบาล
2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง (Symptomatic COVID-19 without pneumonia and no risk factors)
ㆍ แนะนำให้ดูแลรักษาตามอาการ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก และแยกกักตัวที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ Home isolation หรือรับการรักษาในโรงพยาบาล อาจพิจารณาให้ favipiravir เป็นเวลา 5 วัน ตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น กรณีที่ไข้สูง 39
องศาเซลเชียสต่อเนื่องกันมากกว่า 1 วัน อ่อนเพลีย ซึม อาเจียน ท้องเสีย รับประทาน อาหารได้น้อย เป็นต้น
3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง หรือมีอาการปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อยไม่เข้าเกณฑ์ข้อ 4
- ปัจจัยเสี่ยง/โรคร่วมสำคัญ ได้แก่ อายุน้อยกว่า 1 ปี และมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคโควิด-19 อย่างรุนแรง
แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5 วัน อาจให้นานกว่านี้ได้ หากอาการยังมาก โดยแพทย์
พิจารณาตามความเหมาะสม
สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยจัดให้มีช่องทางให้ผู้ป่วย
สามารถติดต่อเข้ารับการประเมิน หรือรับการรักษาในโรงพยาบาลหากอาการเปลี่ยนแปลง
หรือทรุดลง
4. ผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการปอดอักเสบปานกลาง หรือ รุนแรง ได้แก่ หายใจเร็วกว่าอัตราการหายใจตามกำหนดอายุ (60 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ <2 เดือน, 50 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 2-12 เดือน, 40 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 1-5 ปี และ 30 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ >5 ปี)
-แนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
-แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5-10 วัน
-พิจารณาให้ remdesivir หากเป็นมาไม่เกิน 10 วัน และมีปอดอักเสบที่ต้องการการรักษา
ด้วยออกซิเจน หรือมีอาการรุนแรง
- แนะนำให้ corticosteroid
และ5. ผู้ป่วยยืนยันที่มีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาลอื่นๆ เช่น ท้องเสีย อาเจียน ทานอาหารไม่ได้
* แนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5-10 วัน
เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น หรือไม่มีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาล สามารถรักษาต่อแบบผู้ป่วย
นอก โดยการกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์
ในระหว่างที่รักษาแบบผู้ป่วยนอก ขอให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการกักตัวอยู่ที่บ้านตาม
ระยะเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันการกระจายเชื้อ
7 กลุ่มเสี่ยงเด็กติดโควิดอาการรุนแรง
*กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ SARS CoV-2 ที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ เด็กที่มีโรคร่วม หรือความผิดปกติ ดังต่อไปนี้
1. โรคอ้วน (น้ำหนักเทียบกับความสูง (weight for height) มากกว่า +3 SD)
2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
4. โรคไตวายเรื้อรัง
5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
6. โรคเบาหวาน
7. กลุ่มโรคพันธรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า
คำแนะนำดูแลเด็กติดโควิดรักษาตามอาการ
ถ้ามีไข้ ให้กินยาลดไข้และเข็ดตัวเพื่อลดไข้
ถ้ามีอาการไอ มีน้ำมูก ให้กินยาแก้ไอ หรือยาลดน้ำมูกได้และดื่มน้ำมากๆ
ถ้ามีอาการถ่ายเหลว ให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ