สกศ.ใช้ CSC โมเดลแก้ภาวะการเรียนรู้ถดถอยของเด็กไทย

สกศ.ใช้ CSC โมเดลแก้ภาวะการเรียนรู้ถดถอยของเด็กไทย

“สภาการศึกษา”ห่วงภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของเด็กไทย ย้ำเป็นบาดแผลจากโควิด เตรียมเสนอ“CSC โมเดล”แก้ปัญหาทั้งประเทศหลังทดลองใช้ได้ผล  

ดร.อรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 หรือโควิด -19 ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลการจัดการศึกษาทั่วประเทศ โดยเฉพาะระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

พบว่าเกิดภาวะความถดถอยทางการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งไม่แตกต่างจากข้อมูลวิจัยจากต่างประเทศที่พบสถานการณ์ถดถอยทางการเรียนรู้เช่นกัน  

เช่น ระดับชั้น ป.1-ป.3 วิชาภาษาต่างประเทศ  คะแนนเต็ม 3 ได้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่  2.1 ขณะที่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย การงานอาชีพ พลศึกษา และศิลปะ ได้ค่าเฉลี่ยไม่ถึง 2 โดยเฉพาะวิชาที่ใช้ฝีมืออย่างวิชาศิลปะยิ่งน่าเป็นห่วงที่มีความถดถอยมาก  

 

 

  • "CSC MODEL"  พัฒนา 5 กลุ่มผู้เรียน

จากงานวิจัยระบุว่าการเรียนออนไลน์ไม่สามารถตอบโจทย์ได้  ส่วนระดับชั้นอื่น ๆ ในภาพรวมก็เช่นกันที่พบภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ปี ซึ่งถือเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นจากโควิด

ดังนั้น สกศ.จึงได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาต่อ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ด้วยการเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อส่งเสริมโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษา CSC MODEL  (Care plan connecting – Supportive networking – Centralink, provincial learning community) 

สกศ.ใช้ CSC โมเดลแก้ภาวะการเรียนรู้ถดถอยของเด็กไทย

ดร.อรรถพล กล่าวต่อไปว่า  สำหรับกลุ่มเป้าหมายของที่จะต้องเข้าไปดำเนินการพัฒนาจะมี  5 กลุ่ม คือ

1. เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา  

2. เด็กอายุต่ำกว่า18 ปีที่ไม่เข้ารับการศึกษาแม้จะมีความพร้อมก็ตาม

3. เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ลงทะเบียนเรียน แต่ไม่เข้าเรียนหรือเสี่ยงมีแนวโน้มออกกลางคัน

4. เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ออกจากโรงเรียนกลางคัน

 5. เด็กและเยาวชนที่มีอายุมากกว่า 18 ปีหรือประชาชนทั่วไป  

 

  • รูปแบบการพัฒนาผู้เรียนใน 3 ระยะ แก้การเรียนรู้ถดถอย

โดยการดำเนินงานจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะสั้น คือ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย หรือ  C: Care plan connecting เริ่มต้นจากการพัฒนาให้เด็กและเยาวชนในทุกระดับและประเภทการศึกษามีเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพเป็น รายบุคคล

จากนั้นเชื่อมโยง และพัฒนา care plan ให้เกิดขึ้นในทุกระดับ มีการส่งต่อข้อมูลอย่างเป็นระบบ  ทั้งระดับบุคคล สถานศึกษา จังหวัด เขตพื้นที่ฯ และประเทศ นำไปสู่การเกิดขึ้นของ Education passport  ที่รวบรวมข้อมูลการพัฒนาผู้เรียนทั้งหมดไว้ในเล่มเดียว

ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทั่วไปของผู้เรียน ข้อมูลด้านการศึกษา ข้อมูลความต้องการในการพัฒนา เช่น  ความต้องการ ความถนัด จุดอ่อน จุดแข็ง  ตลอดจนปัญหาที่ผู้เรียนเผชิญและความต้องในการได้รับความช่วยเหลือในประเด็นต่างๆ  เป็นต้น   

ระยะกลาง คือ การพัฒนาระบบสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ หรือ  S: Supportive networking ทั้งในรูปแบบกลุ่มคน พัฒนาอาสาสมัครกระทรวงศึกษาธิการ( ศธ.) จากกลุ่มสูงวัยที่ยังมีใจช่วยการศึกษา และ Digital platform เพื่อช่วยเหลือผู้เรียน ผู้ปกครอง และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทุกรูปแบบ

 เช่น  การให้ข้อมูล ศึกษาต่อ การฝึกอบรม/ การพัฒนาทักษะต่าง ๆ หรือ การเป็นพี่เลี้ยง/ ที่ปรึกษาในประเด็นต่าง ๆ เพื่อ แก้ปัญหาร่วมกัน เป็นต้น โดย supportive network ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย หรือ safe zone  ที่ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้เรียนและการศึกษาร่วมกัน 

ระยะยาว คือ การพัฒนาศูนย์กลางการเรียนรู้ (Learning Community) ในระดับจังหวัด หรือ C: Centralink, Provincial learning community เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาทุกช่วงวัยอย่างครอบคลุม ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สานต่อและพัฒนาแนวคิด learning ecosystem ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

รวมถึงการใช้กลไก/ เครื่องมือ/ รูปแบบ/ เครือข่ายการมีส่วนร่วมด้านศึกษาที่ สกศ. มีเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ดังกล่าวให้เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาได้มีการทดลองนำร่องแล้วที่จังหวัดกาญจนบุรี และเสนอ รมว.ศธ.แล้ว ซึ่ง รมว.ศธ.เห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  เพื่อให้มีการขยายผลในโรงเรียนในปีการศึกษา 2565 ต่อไป.