เปิดใจ "เติร์ด Tilly Birds" กับมุกตลกที่ไม่ตลก เมื่อถูกอำเป็น Three Man Down

เปิดใจ "เติร์ด Tilly Birds" กับมุกตลกที่ไม่ตลก เมื่อถูกอำเป็น Three Man Down

บางคนอาจจะมองว่ามุกตลกบางมุกเป็นแค่เพียงเรื่องตลกสามารถใช้หยอกล้อได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กับบางคนโดยเฉพาะบุคคลสาธารณะอาจเป็นเรื่องที่ไม่ตลกและร้ายแรงกว่าที่คิด

หากพูดถึงชื่อ อนุโรจน์ เกตุเลขา อาจจะมีบางคนไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึง "เติร์ด Tilly Birds" เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องรู้จักเขาในฐานะนักร้องนำวง Tilly Birds ที่มีเพลงฮิตติดหูและมีแฟนคลับมากมายทั่วประเทศ มีทั้งการปล่อยอัลบั้ม การทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งเป็นการการันตีถึงชื่อเสียงของวงอย่างเห็นได้ชัด

รวมถึงมีผู้ติดตามในโลกโซเชียลมากมาย แต่ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงหรือโด่งดังขนาดไหน พวกเขาก็ยังคงหนีไม่พ้นการถูก “บูลลี่” ซึ่งเรื่องนี้ เติร์ด เรียกได้ว่าเป็นผู้ออกมาเปิดเผยถึงความในใจที่ตนและวงของตนถูกบูลลี่อย่างหนักในฐานะที่เป็นทั้ง “คนธรรมดา” และ “ศิลปิน” บนเวที “TEDxKasetsartU”

“เติร์ด” เปิดเผยว่าตั้งแต่อยู่วงการนี้มาและเป็นบุคคลสาธารณะ มีคนจำนวนมากที่เข้าใจผิดว่าตนเป็นนักร้องนำวง Three Man Down หรือเพลงตนเป็นของวงนี้ แต่ในขณะเดียวกันวง Three Man Down ก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น Tilly Birds

ซึ่งการล้อเลียนเรื่องวงหรือชื่อเพลงนั้นโดนทั้งต่อหน้าและในโซเชียลมีเดีย จุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิดนั้น ตนคาดว่าอาจจะเกิดจากตอนที่ทั้ง 2 วง ตัดสินใจร่วมงานกันโดยการที่นำเพลงฮิตของทั้งคู่ ก็คือเพลง "คิดแต่ไม่ถึง" ของ Tilly Birds และเพลง "ฝนตกไหม" ของ Three Man Down มารวมกันเป็นเพลง "ความคิดถึงที่ฉันเคยส่งไปในคืนที่ฝนโปรยลงมา"

ซึ่งหลังจากปล่อยเพลงออกมาแล้วก็ได้รับผลตอบรับดีเกินคาดซึ่งตนก็ยอมรับว่าดีใจมากที่ได้รับผลตอบรับดีมากขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่สับสนว่า แล้วสรุปเพลงอะไรเป็นของวงอะไร นักร้องนำคนไหนอยู่วงไหนกันแน่ เพราะอาจจะมีบางคนที่ฟังแต่เพลงอย่างเดียวแล้วไม่ได้ดูมิวสิควิดีโอ แต่ความเข้าใจผิดเหล่านี้ตนมองว่าเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายให้คนที่เข้าใจผิดเข้าใจได้อย่างถูกต้องได้ไม่ยากและใช้เวลาไม่นาน

แต่สิ่งที่ยากและทำให้เกิดปัญหาไม่จบก็คือมีคนบางคนที่รู้อยู่แล้วว่าวงไหนเป็นวงไหนและเพลงไหนเป็นของใครแต่เลือกที่จะนำความเข้าใจผิดเหล่านี้มาหยอกล้อตนและเพื่อนร่วมวงไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ซึ่งมองว่าแท้จริงแล้วการกระทำเช่นนี้คือการ "บูลลี่" เรียกว่า "Name Calling" ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลมีชื่อจริงอยู่แล้วแต่กลับถูกเรียกด้วยชื่ออื่น หรือคำอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ถูกล้อชื่อพ่อชื่อแม่สมัยอยู่โรงเรียน

แต่ในกรณีของ Tilly Birds และ Three Man Down นั้น ถูกสลับชื่อวง ซึ่งตนยอมรับว่าทั้งสองวง เกิดความรู้สึกไม่พอใจเพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกแย่ทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ยังทำให้คนใหม่ ๆ ที่เพิ่งจะมาเริ่มฟังหรือเริ่มรู้จักวงดนตรีใหม่ ๆ เข้าใจผิดไปด้วย และเนื่องจากทั้งสองวงอยู่ค่ายเพลงเดียวกัน มีเพลงฮิตที่ทำให้แจ้งเกิดในเวลาใกล้เคียงกันก็ยิ่งเพิ่มความสับสน

นอกจากนี้เติร์ดยังเปิดเผยว่า ตนเคยไปงานเลี้ยงคณะไปเจอเพื่อน ๆ รุ่นน้อง รุ่นพี่ แต่ทุกคนกลับพร้อมใจกันทักตนว่าเป็น "กิต Three Man Down" หรือแม้กระทั่งไปร่วมงานเลี้ยงต่างคณะแล้วเจอรุ่นน้องที่เคยไม่รู้จักกันมาก่อนโดยที่เพื่อนตนก็ได้แนะนำแล้วว่าตนเป็นใครอยู่วงอะไรแต่รุ่นน้องคนนั้นกลับเอาชื่อเพลงของวง Three Man Down มาใช้เป็นคำทักทาย

ซึ่งตนก็ต้องพยายามยิ้มแย้มทำตัวตามปกติทั้งความจริงแล้วตนรู้สึกไม่ดีเพราะว่าหลายคนทำให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่ดูปกติทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่เคยปกติและไม่ควรจะเป็นเรื่องปกติ

บางคนอาจจะเห็นทั้งสองวงถูกแซวลักษณะนี้ในโซเชียลอยู่บ้าง อาจจะเห็นว่าก็ไม่ได้มีการแซวกันเยอะไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ตนจึงอยากให้คนเหล่านั้นว่า “แต่ถ้าคุณมาเป็นเรา เป็นบุคคลสาธารณะ และลองมาใช้บัญชีโซเชียลมีเดียของวงเรา คุณจะเห็นโพสต์แบบนี้ในหนึ่งวันเยอะมาก บางครั้งนับไม่ถ้วนและเราเจอแบบนี้ทุกวัน”

นอกจากเรื่องของวงแล้วในชีวิตส่วนตัวนั้นตนก็ถูกบูลลี่ด้วย Name Calling มาตลอด เช่น ไอ้ตุ๊ด ไอ้ติ๋ม ไอ้บ้า ไอ้หน้าเต้าหู้ ไอ้ Overacting เป็นต้น ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมซึ่งหนักที่สุดในช่วงมัธยมคือการล้อชื่อพ่อชื่อแม่

ซึ่งพอตนรู้สึกไม่ดีก็อยากให้เขาหยุด ขอร้องให้เขาหยุดแต่เขาไม่หยุด และพอตนไปปรึกษาเพื่อน ๆ ปรึกษาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ของตนเอง ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ต้องไปสนใจ ช่างมันเถอะ ตนจึงเลือกที่จะปล่อยไป จนเรียนจบและคิดว่าต่อไปนี้คงไม่ถูกบูลลี่แล้วเพราะเข้าสู่วัยทำงานแล้วแต่ตนคิดผิดเพราะว่าตนคือบุคคลสาธารณะซึ่งตนก็ยังต้องปล่อยไปเหมือนเดิม

ปัจจุบันวง Tilly Birds กำลังจะเข้าสู่ปีที่ 11 ตั้งแต่ก่อตั้งมา ตนรู้สึกดีใจมากที่ความสำเร็จที่พยายามมาสิบกว่าปีมันสำเร็จผลในขั้นแรกในช่วง 2 ปี นี้ แต่พูดตามตรงว่าก็ต้องทนกับการถูก Name Calling อยู่ตลอด

ตนอยากถามคำถามหนึ่งกับทุกคน ว่าระหว่างอำนาจ เงินทอง และชื่อเสียง คุณเลือกอะไร ซึ่งสำหรับตนตอบว่าชื่อเสียงซึ่งอาจจะเป็นคำตอบส่วนน้อย “แต่สำหรับเราแล้วชื่อเราเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่เป็นเกียรติของเรา เป็นความภูมิใจของเรา เราสร้างวงมาสร้างตัวตนขึ้นมา ก็เพื่อที่จะอยากเป็นที่รู้จักด้วยชื่อนี้ เราไม่อยากให้ใครมาเรียกเราเป็นอย่างอื่น พูดตรง ๆ ว่าถึงวันที่เราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว เราก็อยากให้ชื่อเรา ชื่อวงเรามีชีวิตอยู่ต่อไป” เติร์ดพูดถึงความในใจ