4 จุดในบ้านที่ต้องปรับ เพิ่มความปลอดภัย เมื่อเป็นผู้สูงอายุ
เพราะ"บ้าน"หลังเดิมที่อยู่เมื่อวัยหนุ่มสาว อาจไม่ปลอดภัยเมื่อเป็นผู้สูงอายุ ด้วยสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนเดิม จำเป็นอย่างมากที่ต้องปรับ เปลี่ยนบ้านให้เหมาะสม เพิ่มความปลอดภัย โดยเฉพาะ 4 จุดสำคัญที่อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้สูง
มีการค้นพบว่า ผู้สูงอายุเกือบ 100 %อยู่ในบ้านเดิม และเกิดอุบัติเหตุในบ้าน โดยปีละประมาณ 1,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 3 คนที่เสียชีวิตจากการหกล้ม จากที่เกิดการหกล้มปีละเกือบ 5 แสนคน นอกจากนี้ เคยมีการสำรวจบ้านในกรุงเทพฯมีแค่ 7 %ที่ปลอดภัย ไม่นับรวมโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียม
รศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากงานวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุที่หกล้มประมาณ 90 % เกิดจากสภาพแวดล้อม โดยสะดุดสิ่งกีดขวาง 39 % พื้นลื่น 34 % พื้นต่างระดับ 10 % ตกเตียงและบันได 6 % ซึ่งก่อนหน้านี้สัดส่วนการหกล้มนอกบ้านและในบ้านสัดส่วนเท่ากัน แต่ในช่วง 2 ปีของโควิด19 ผู้สูงอายุอยู่บ้านมากขึ้น สัดส่วนการหกล้มในบ้านจึงพบถึง 80 % สถานที่ที่หกล้มในบ้าน 4 จุดหลัก ได้แก่ ห้องนอน 30 % ห้องน้ำ 25 % บันได 12 % และระเบียงบ้าน 5 %
“คนไทยซื้อบ้านตอนแต่งงาน บ้านจึงเป็นบ้านสำหรับวัยหนุ่มสาว จึงเป็นบทเรียนว่าจะต้องซื้อบ้านแบบเผื่อไว้อีกช่วงวัยหนึ่ง หรือไม่ก็เปลี่ยนบ้านตามพฤติกรรมการอยู่อาศัย แต่เป็นเรื่องยากของคนไทยเพราะจะซื้อบ้าน 1 หลังแล้วอยู่ยาว บ้านจึงไม่มีความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ” รศ.ไตรรัตน์กล่าว
บ้านที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ จากงานวิจัยล่าสุดต้นพบจุดนัดพบต่อการหกล้ม 4 จุดในบ้าน จึงต้องขจัดตรงจุดนี้ เพื่อสร้างความปลอดภัย ประกอบด้วย 1.ห้องน้ำ เพราะผู้สูงอายุต้องเข้าห้องน้ำเฉลี่ยช 5 ครั้งต่อวัน โอกาสเกิดอุบัติเหตุจึงมีมาก และมักเกิดในช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่บ้าน นำมาสู่การเสียชีวิตและบาดเจ็บหนักขึ้น 2.บันได ผู้สูงอายุ100 % จะอยู่ชั้นบน เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไปไม่อยากย้ายลงมาข้างล่าง เพราะไม่ได้มีกั้นห้องนอนไว้ ทำให้ต้องเดินขึ้นลงบันไดลำบาก
3.ห้องนอน โดยผู้สูงอายุมักจะลุกเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน บริเวณมีความมืด เตียงนอนสูงจากพื้นมากขาลอย พรหมลื่นเกิดการหกล้มได้ ส่วนผู้สูงอายุในชนบทนอนฟูกบนพื้น ลุกลำบาก ข้อเข่าติด เมื่อพยายามลุกเดินทำให้ล้มตรงจุดนั้น ฉะนั้น เตียงนอนต้องปรับปรุงให้มีความสูงจากพื้นระดับที่ขาถึงพื้นพอดีขณะนั่งขอบเตียง ไม่มีพรหม ถ้าไม่มีแรงพยุงตัวต้องมีราวจับพยุงตัวขึ้นจากเตียง และควรตะแคงขวายันขึ้นนั่งก่อนอย่ารีบร้อน ตั้งสติดีแล้วค่อยลุก เพราะผู้สูงอายุเกือบ 80 %มีความดันโลหิตสูง จะหน้ามืดง่ายขณะเปลี่ยนท่าทาง
และ4.พื้นที่รอยต่อในและนอกบ้าน มี 3 จุดหลัก คือ ระเบียงหน้าบ้าน การซักล้างหลังบ้าน ที่จอดรถข้างบ้าน ซึ่งบ้านบางหลังไม่มีหลังคาคลุม เมื่อฝนตก ทำให้พื้นลื่น มีตะไคร่ขึ้น พื้นต่างระดับ เพราะฉะนั้น การแก้ไขจะต้องทำหลังคาคลุมและทำพื้นให้เรียบเสมอกัน
หลักการปรับปรุงบ้านในจุดเสี่ยงมี 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.พื้นต้องเรียบเสมอกัน อะไรที่เป็นสิ่งกีดขวาง เช่น ธรณีประตู สิ่งที่ขั้นต้องเอาออกให้หมด 2.พื้นไม่ลื่น จะต้องให้พื้นมีความหยาบขึ้น กรณีที่ไม่อยากรื้อพื้น ปัจจุบันมีน้ำยาที่ราดแล้วจะมีความหนืดขึ้นประมาณ 10 % 3.มีราวจับ บริเวณที่ลื่น ภายในภายนอกบ้าน ประตู หน้าต่าง และ4.มีแสงสว่างเพียงพอ
“ถ้าปรับปรุงในจุดเสี่ยง 4 จุดสำคัญให้ครบทั้ง 4 อย่างนี้ ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในบ้านให้กับผู้สูงอายุมากขึ้น ซึ่งในการปรับปรุงนั้นสามารถจัดหาวัสดุได้ตั้งแต่หลัก 100 หลัก 1,000 หรือมากกว่านั้น ทำได้ตามงบประมาณ ไม่จำเป็นต้องใช้ที่มีราคาแพงทั้งหมด”รศ.ไตรรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ประสงค์ที่จะปรับปรุงบ้านให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ออกแบบเพื่อทุกคน(UDC) 12 แห่งทั่วประเทศ แยกเป็น 5 ศูนย์ คือ คณะสถาปัตยกรรม ม.เชียงใหม่ ม.สงขลานครินทร์ ม.มหาสารคม ม.ธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ 7 เครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฎ(มรภ.)เชียงราย ม.แม่โจ้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ศรีวิชัย ม.นครพนม มทร.สุวรรณภูมิวิทยาเขตนนทบุรี มทร.ธัญบุรี และม.เกษตรศาสตร์
รศ.ไตรรัตน์ แนะนำด้วยว่า การเตรียมตัวรองรับการเป็นผู้สูงวัยยิ่งเตรียมตัวเร็วยิ่งดี ในส่วนของสภาพแวดล้อม เมื่ออายุ 40 ปีควรต้องเริ่มพิจารณาว่าจะอยู่บ้านหลังเดิมอีกนานเท่าไหร่ หรือลูกหลานจะปรับปรุงบ้านให้พ่อแม่เมื่อไหร่ โดยส่วนใหญ่จะมีความคิดว่าปรับปรุงบ้านตอน 60 ปี หรือตอนที่พ่อแม่หกล้มแล้ว บางครั้งอาจสายไปแล้ว จึงต้องเปลี่ยนความคิด ต้องปรับปรุงก่อนเพื่อป้องกันการหกล้ม ซึ่งผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีทัศนคติว่าบ้านหลังเดิมอยู่มานานแล้วคุ้นเคย มีความปลอดภัย ไม่ต้องปรับปรุง ตัวเองยังแข็งแรงดี และต้องการประหยัด แต่ไม่ได้คิดถึงอนาคต
“อย่ารอให้ผู้สูงอายุมาบอกว่าต้องการปรับปรุงบ้านเพราะจะไม่พูด ด้วยความแกรงใจ แต่เป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะต้องปรับปรุงบ้านให้ผู้สูงอายุเพื่อความปลอดภัยขึ้น ซึ่งหากลูกหลานไม่ปรับ หากผู้สูงอายุหกล้ม ลูกหลานจะเดือดร้อนด้วย”รศ.ไตรรัตน์กล่าว