ไทยปรับแผน ตั้งเป้าลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40% ในปี 2030
ไทยปรับแผน ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40% ในปี 2030 ระบุ 3 ปัจจัย เงินทุนสนับสนุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี ความรู้ แก้ปัญหาโลกร้อนได้เร็วขึ้น เผย ESG หัวใจสำคัญ เศรษฐกิจโตไม่กระทบสิ่งแวดล้อม
(29 ส.ค.2565)นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ : ESG : Powering the Climate Resilient Economy and Path to Net Zeroในงาน ESG Declaration ประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าตามทางรัฐบาล ได้ไปทำข้อตกลงในที่ประชุมCOP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศที่จะให้ไทยมีความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งจริงๆ ไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้เดิม คือ 2065 กับ2090
3 ปัจจัย ช่วยโลกลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“ก่อนเดินทางไปประชุมCOP26 ประมาณ 2-3อาทิตย์ ได้มีท่านฑูตของEU 20 ประเทศให้เกียรติมาเยี่ยมตนที่กระทรวง และมีการพูดถึงไทม์ไลน์ของประเทศไทยเพื่อให้ไทยขยับไทม์ไลน์การทำคาร์บอนเป็นกลาง และ Net Zero ของก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ให้สั้นลง ซึ่งมีการเจรจากันว่า หากไทยปรับลดไทม์ไลน์ลงมาเร็วขึ้น จะต้องมีการช่วยเหลือ 3อย่างคือ 1.การได้เงินทุนสนับสนุน 2.การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับไทย 3.การสอนถ่ายทอดความรู้ให้กับไทย” รมว.ทส. กล่าว
โดยเมื่อปรับไทม์ไลน์แล้ว ต้องมีการปรับแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยก่อนจะมีการประชุม COP 27 ที่ประเทศอียิปต์ แผนยุทธศาสตร์ต้องมีการส่งให้องค์กรที่ดูแลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ไทยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ในปี 2030
นายวราวุธ กล่าวต่อว่าการที่ไทยตั้งเป้าคาร์บอนเป็นกลาง และ Net Zero ของก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ให้สั้นลงนั้น จะทำให้อุณหภูมิของโลก ไม่สูงขึ้นถึง 1.5-1.6 องศาเซลเซียล ซึ่งมีหลายคนสอบถามว่าการเพิ่ม 1-2 องศาเซลเซียล จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งไม่อยากให้ทุกคนเปรียบเทียบแอร์ที่บ้านเท่ากับเพิ่มอุณหภูมิโลก เพราะถ้าเปรียบต้องเปรียบเหมือนกับคนหนึ่งคน หากเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายคนให้สูงขึ้นก็จะทำให้คนๆ นั้นแย่ได้ หากเพิ่มอุณหภูมิโลกต่อไปจนถึง 2.7-2.8 องศาเซลเซียล คนในโลกจะไม่รอด
"ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันทำอย่างไรให้ไทย เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชน ในการปรับปรุงแผนระยะยาว จะมีการปรับเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด เรากำหนดไว้ว่าการจะก้าวสู่ เป้าหมายคาร์บอนเป็นกลางใน ปี2030 และก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2035 ก็ตั้งเป้าที่ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40% จากเดิมที่มีเป้าหมายลด 30% ซึ่งการลดอีก 10% ที่เป็นการลดเพิ่มนี้ต้องมาจากการช่วยเหลือนานาประเทศ ทั้งเงิน เทคโนโลยีและความรู้”นายวราวุธ กล่าว
ในปี 2025 คาดว่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ เกือบ 370 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต้องลดลงมาให้เหลือ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2037 ซึ่งดีใจที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย จะเริ่มในด้านพลังงานและขนส่ง ซึ่งทั้ง 2 ด้านนี้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด รองลงมาการจัดการของเสีย และภาคการเกษตร ซึ่งการทำนาปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก๊าซมีเทนมหาศาล
- ความล้มเหลวแก้ปัญหาโลกร้อน ความเสี่ยงอันดับ 1
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ อย่างในไทย ช่วงเช้าที่ผ่านมาหลายคนจะเห็นฟ้ามืดมากและฝนตกลงมา ขณะที่ฝนตกถล่มหนักน้ำท่วมกรุงโซลรุนแรงในรอบหลายสิบปี ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับที่ 21 ของโลก หรือ ปล่อยออกมา 0.8% แต่ประเทศไทยกลับเป็นประเทศอันดับที่ 9 ที่จะได้รับผลกระทบมากสุด
รมว.ทส. กล่าวต่อว่าข้อมูลจาก World Economic Forum Global Risks Perceptopn Survey2021-2022 ระบุว่าความล้มเหลวในการจัดการแก้ปัญหาโลกร้อน เป็นความเสี่ยงอันดับ 1 และความแปรปรวนของสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้นในแต่ละปี เป็นความเสี่ยงอันดับ 2 ซึ่งในทุกปีจะมีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่มาตรการทางภาษี (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ CBAMครอบคลุมสินค้าอยู่ 5 ชนิด ได้แก่ เหล็ก-เหล็กกล้า อลูมิเนียม ปุ๋ย พลังงาน และซีเมนต์ ซึ่ง CBAM จะเริ่มทดลองใช้ในปี 2566 และจะบังคับใช้ในปี 2567
นอกจากนั้น ถ้าหากในอนาคต กลุ่มประเทศอื่น อย่างทดลองใช้บ้าง เช่น เกาหลี อเมริกา หรือแคนาดา มีการทดลองใช้อยู่ และกำลังพิจารณาซึ่งมีแนวโน้มจะขยายไปที่ตัวที่ 6 คือสินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ หรือขยายอียูอาจขยายกลุ่มสินค้าไปมากกว่านี้ ไปถึงพวกกลุ่มเครื่องดื่มหรือสินค้าเกษตร แล้วภาคเกษตรของไทยจะปรับตัวอย่างไร มาตรการภาษีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
- ESG หัวใจสำคัญ เศรษฐกิจโตไม่กระทบสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่าการที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกๆ กลุ่มต้องเข้ามาร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ ตอนนี้รัฐบาลประกาศ BCG Model ประกอบด้วย Bioeconomy Circular Economy และGreen Economy ซึ่งจะมีเรื่องทรัพยากร ความยั่งยืน ที่จะสอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนการเน้นในเรื่อง ESG (สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) รวมถึง Responsible Investment เป็นหัวใจสำคัญในการหมุนไปข้างหน้า ทำให้เกิดความยั่งยืน
“การลงทุนต้องคำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบ การจัดการด้านสังคม และการจัดการด้านธรรมาภิบาล ที่ไม่ใช่เพียงกำไรอย่างเดียว ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจโตขึ้นโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การลงทุนที่มีความรับผิดชอบ ESG จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน เรื่องนี้” นายวราวุธ กล่าว
- แนวทาง 6 ด้าน ไทยลดก๊าซเรือนกระจก
รมว.ทส. กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญนั้น ในส่วนของภาคพลังงานและขนส่ง จะต้องมีการเพิ่มใช้พลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้พลังงาน การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
ขณะที่การใช้ปูน ต้องมีมาตรการทดแทนปูนเม็ด การปรับเปลี่ยนสารทำความเย็น CCUS ในอุตสาหกรรมซีเมนต์ ส่วนภาคการจัดการของเสีย ต้องมีการจัดการขยะและน้ำเสียชุมชน รวมถึงน้ำเสียในอุดตสาหกรรม Waste to Energy ภาคเกษตร ต้องปรับปรุงการทำนาข้าวเพื่อลดการปล่อยมีเทน และผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ และป่าไม้ ต้องมีการส่งเสริมการปลูกป่าธรรมชาติ ป่าเศรษฐกิจ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท การป้องกันการบุกรุกและการทำราย ซึ่งปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ต้องลดลงเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 มีมูลค่าคาร์บอนประมาณ 325,450 ล้านบาท
รมว.ทส. กล่าวด้วยว่า การดำเนินการ 6 ด้านของไทย ได้แก่
1.ด้านนโยบาย โดยทุกกระทรวง ทบวง กรม จะต้องมีแผน มียุทธศาสตร์และบูรณาการทำงานเข้าด้วยกัน
2.ด้านเทคโนโลยี มีแนวคิด ATR เทคโนโลยีเพื่อเกษตรกรไทย และ Thai Rice NAMA ทำนาวิถีใหม่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม การพัฒนาและการดักจับ CCS TECHNOLOGY เป็นต้น
3. ด้านการเงินและการลงทุน โดยนักลงทุน 80% ให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ยึดหลัก ESG มากขึ้น
4.ด้านกลไกลตลาดคาร์บอนเครดิต
5.ด้านการเพิ่มแหล่งกักเก็บ/ดูดกลับก๊าซเรือนกระจก
6.ด้านกฎหมาย
“ยืนยันว่าไทยไม่ได้ดีแต่พูด ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการดำเนินการขับเคลื่อนในหลายๆ เรื่อง เช่น ได้ทำข้อตกลงในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต กับสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นคู่แรกของโลก รวมถึงในส่วนของภาคเอกชน และสมาคมธนาคารไทย เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันธุรกิจ และประชาชนให้ก้าวสู่สถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนและปรับตัวได้ ซึ่งผมเชื่อว่าเราทำได้ การที่คนไทยมาทำงานด้วยกัน ทำให้เชื่อมั่นศักยภาพของคนไทย และเมื่อรวมตัวทุกอย่างสามารถทำให้เป็นจริงได้ เพราะไม่มีอะไรที่คนไทยทำไม่ได้ และการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้เป็นทางเลือกแต่เป็นทางรอด”รมว.ทส. กล่าว