‘เทเลนอร์’ ชี้ ‘เด็ก-ผู้หญิง’ เสี่ยงสูง พื้นที่ ‘ไม่ปลอดภัย’ ออนไลน์
ผลวิจัย “เทเลนอร์” เผยว่า เด็กและผู้หญิงกำลังเผชิญกับภัยออนไลน์จำนวนมากทั้งการข่มขู่และล่วงละเมิดโดยพื้นที่ออนไลน์ที่ไม่ปลอดภัยก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างเพศที่กว้างขึ้น
ข้อมูลจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศหรือ ITU ระบุว่า 48% ของผู้หญิงเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ขณะที่ผู้ชายมีสัดส่วนที่ 55% ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างเพศของการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 12.5%
นอกจากนี้ เด็กและผู้หญิงยังเผชิญกับภัยออนไลน์มากมายทั้งการข่มขู่และล่วงละเมิด ทั้งการขาดซึ่งความปลอดภัยในโลกออนไลน์ยังส่งผลทำให้เกิดช่องว่างในการเรียนรู้ทางดิจิทัลระหว่างเพศ
โดยเด็กและเยาวชนหญิงไม่สามารถพัฒนาทักษะทางดิจิทัลได้อย่างเต็มความสามารถ ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนผู้หญิงที่เข้าสู่สนามการทำงานด้านไอซีที ทั้งระดับปฏิบัติการ ผู้บริหาร และนักวิชาการยังคงน้อยกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ
จากข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือ OECD ระบุว่า ผู้หญิงมีโอกาสในการทำงานด้านไอซีทีน้อยกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า
'ข้อมูลเท็จ’ เพิ่มอุปสรรค
ดังนั้น “พื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัย” นับเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง เทเลนอร์และองค์การแพลนอินเตอร์เนชั่นแนลได้รวบรวมอุปสรรคและความท้าทายต่างๆ สำหรับเด็กและเยาวชนหญิงที่ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างเพศบนพื้นที่ออนไลน์
ประเด็นที่น่าสนใจพบ “ข้อมูลเท็จและข้อมูลที่บิดเบือน” (Misinformation and disinformation) จากรายงานขององค์การแพลนอินเตอร์เนชั่นแนลเรื่อง “ช่องว่างของความจริง” ในปี 2564 เผยว่า ข้อมูลเท็จและบิดเบือนเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัดเด็กและเยาวชนหญิงให้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ทางการเมืองและสถานการณ์ปัจจุบัน
เนื่องจากความเชื่อถือของพวกเธอต่อแหล่งข่าวลดลง ซึ่งทั้งข้อมูลเท็จและบิดเบือนส่งผลกระทบทางลบต่อเด็กและเยาวหญิงถึง 87% โดย 1 ใน 4 มีความมั่นใจลดลงในการแชร์ข่าว และ 7 ใน 10 บอกว่าพวกเธอไม่เคยเรียนรู้วิธีการแยกแยะข้อมูลเท็จและข้อมูลที่บิดเบือนทั้งในโรงเรียนหรือที่บ้าน
50% เคยถูกล่วงละเมิด
มิน เซีย นักวิจัยอาวุโส เทเลนอร์รีเสิร์ช กล่าวว่า ควรส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความมั่นใจในการท่องโลกออนไลน์มากขึ้น ผ่านการให้คำปรึกษา (Mentorship) เพื่อแก้ไขทัศนคติหลังเผชิญกับประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวข้อมูลเท็จและบิดเบือน สร้างความมั่นใจ กระตุ้นการมีส่วนร่วม ตั้งคำถาม และอภิปรายต่อเหตุการณ์รอบตัว ขณะเดียวกันควรส่งเสริมให้มีต้นแบบ (Role model) ที่เป็นผู้หญิงในสนามการทำงานด้านไอซีทีมากขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นยังมี “การล่วงละเมิดออนไลน์” (Online harassment) จากการสำรวจเด็กและเยาวชนหญิงอายุระหว่าง 15-25 ปี ขององค์การแพลนอินเตอร์เนชั่นแนลเรื่อง Free to Be Online ระบุว่า 50% เคยถูกล่วงละเมิดทางออนไลน์
ขณะที่ 19% ของผู้ที่ถูกล่วงละเมิดออนไลน์ลดการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีนัยสำคัญ และ 22% บอกว่าพวกเธอมีความรู้สึกกลัวและกังวลต่อความปลอดภัยทางร่างกายหลังผ่านประสบการณ์ล่วงละเมิดมา
เทเลนอร์พบด้วยว่า ประสบการณ์ออนไลน์ที่ไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่ามีผลกระทบต่อการเลือกเรียนต่อหรือสายอาชีพ ดังนั้น การสร้างความมั่นใจและตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเอง (Self-esteem) จึงมีความสำคัญต่อการลดช่องว่างระหว่างเพศทางดิจิทัล
หนุน ‘การเข้าถึง-เท่าเทียม’
บาคยาชรี เดงเกิล ผู้อำนวยการอาวุโส Asia Pacific Region and Gender Transformative Policy & Practice องค์การแพลนอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ทักษะความรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเด็กและเยาวชนหญิงในการเรียนรู้และท่องโลกดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในแง่ของการเรียนรู้
“เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตจะต้องเป็นตัวช่วยมากกว่าอุปสรรคสำหรับเด็กและเยาวชนหญิง การเข้าถึงอย่างเท่าเทียมเพื่อการเรียนรู้และสร้างเสริมทักษะดิจิทัลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเธอ”
ที่ไม่อาจมองข้ามคือ “ความเป็นส่วนตัว” จากผลจากสำรวจของเทเลนอร์รีเสิร์ชหัวข้อ Smart Life 2020 เผยว่า เยาวชนในปากีสถานและมาเลซียมีความรู้เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวในระดับต่ำ แต่ขณะเดียวกันระดับความรู้เหล่านั้นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
โดยผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นส่วนน้อย คือ ต่ำกว่า 45% มีการล้างประวัติการเข้าเว็บไซต์หรือปิดการใช้งานติดตามโลเคชั่น มีเพียง 32% ที่มีการล้างคุ้กกี้ ซึ่งการไม่ล้างคุ้กกี้อาจเพิ่มความเสี่ยงให้แฮกเกอร์แอบเก็บข้อมูลหรือสวมรอยบัญชีส่วนตัวได้ พบด้วยว่าเด็กและเยาวชนยังยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูลบัตรเครดิตของพวกเขาบนออนไลน์อีกด้วย