"ศาลปกครอง" ตีตกคำร้อง "ณภัทร" ขอทุเลาดีลควบรวมทรู - ดีแทค!!
ศาลปกครอง ชี้ ผู้ร้องสอดทั้ง 2 ราย ทรู - ดีแทค และ กสทช. อธิบายแล้วว่า ทำตามกฎหมาย และยังได้ทำอะไรผิด ส่วนดีลการควบรวมได้แจ้งสำนักงาน กสทช.ก่อนแล้ว อีกทั้งสองบริษัทยังไม่ได้ทำธุรกรรมอะไรกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่าน ศาลปกครองได้มีคำสั่งในคดีเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีหมายเลขดำ 775/2565 ที่คดีหมายเลขแดงที่ /25 ผู้ฟ้องคดี นายณภัทร วินิจฉัยกุล และผู้ถูกฟ้องคดี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ร้องสอด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ 1 บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ 2 เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า
ผู้ฟ้องคดีมีฐานะเป็นประชาชนชาวไทย มีส่วนเป็นเจ้าของคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคมอันเป็นสาธารณสมบัติของชาติ และมีฐานะเป็นผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมตามมาตรา 60 วรรคหนึ่ง และวรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีอาศัยอำนาจตามมาตรา 27 (11) (24) และมาตรา 81 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ประกอบกับมาตรา 21 และมาตรา 22 (3) (4) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ออกประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการกำกับ ดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 (ประกาศพิพาท)
โดยผู้ฟ้องคดี เห็นว่า ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจใน กิจการโทรคมนาคม ตามที่ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 มีมูลเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ ดังต่อไปนี้ อาทิ ข้อ 2 ของประกาศพิพาทที่กำหนดให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการควบรวม และการถือหุ้นไขว้ในกิจการเดียวกัน
สำหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลทุเลาการบังคับตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม อันจะมีผลเป็นการชะลอหรือระงับ การปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวนั้น การที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามประกาศดังกล่าวได้ต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นว่าประกาศดังกล่าวน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงขอให้ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง และการทุเลาการบังคับตามประกาศดังกล่าวไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือการบริการสาธารณะ ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 7 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2553 เมื่อพิจารณาข้อ 5 วรรคหนึ่งของประกาศดังกล่าว ซึ่งบัญญัติว่า ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตที่ประสงค์จะทำการรวมธุรกิจกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นต้องรายงานต่อเลขาธิการ กสทช. ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน ก่อนการดำเนินการดังต่อไปนี้ 1.จดทะเบียนนิติบุคคล ในกรณีที่เข้ารวมธุรกิจระหว่างผู้รับใบอนุญาต หรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่น ทำให้เกิดนิติบุคคลใหม่ขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์หรือตามสัญญาร่วมค้า หรือ (1) ทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ในกรณีที่เข้ารวมธุรกิจโดยผู้รับใบอนุญาตหรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วนของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือ (3) ทำสัญญาซื้อขายหุ้น ในกรณีที่เข้ารวมธุรกิจโดยผู้รับใบอนุญาตหรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดหรือบางส่วนของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น เพื่อควบคุมนโยบาย การบริหารกิจการ การอำนวยการ หรือการจัดการ
และข้อ 9 ซึ่งบัญญัติว่า การรายงานตามข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 หรือข้อ 8 ให้ถือเป็นการขออนุญาตจาก กสทช. ตามข้อ 8 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมพ.ศ.2549 เห็นได้ว่า แม้ผู้ประสงค์จะรวมธุรกิจสามารถรายงานการรวมธุรกิจต่อเลขาธิการ กสทช. ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน ก่อนการดำเนินการจดทะเบียนนิติบุคคล ทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์หรือทำสัญญาซื้อขายหุ้น แต่การรายงานดังกล่าวถือเป็นการขออนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีตามข้อ 8 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ซึ่งข้อ 8 ของประกาศดังกล่าว วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันโดยการเข้าซื้อหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมดของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือการเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมด หรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบาย หรือการบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น วรรคสอง บัญญัติว่า ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกระทำโดยทางตรง หรือทางอ้อม หรือผ่านตัวแทนไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันก่อนการดำเนินการจดทะเบียนนิติบุคคล ทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์หรือทำสัญญาซื้อขายหุ้น แต่การรายงานดังกล่าวถือเป็นการขออนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีตามข้อ 8 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549
ผู้ถูกฟ้องคดีก็มีอำนาจสั่งห้ามการรวมธุรกิจได้ ดังนั้น ในชั้นนี้จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้ง ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่าผู้ร้องสอดทั้งสองยังมิได้จดทะเบียนทำให้เกิดเป็นนิติบุคคลใหม่ขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ หรือได้มีการทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ หรือทำสัญญาซื้อขายหุ้นซึ่งจะมีผลให้เกิดการรวมธุรกิจตามกฎหมาย จึงไม่มีความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขในภายหลังตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีทำคำชี้แจงต่อศาล ระบุว่า ขณะนี้ผู้ถูกฟ้องคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าการรวมธุรกิจของผู้ร้องสอดทั้งสองจะเกิดการผูกขาด ลดหรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการโทรคมนาคมหรือไม่
โดยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีมติให้สำนักงาน กสทช. รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับการรวมธุรกิจของผู้ร้องสอดทั้งสองต่อผู้ถูกฟ้องคดีภายใน 60 วัน นับแต่วันดังกล่าวโดยผู้ถูกฟ้องคดีจะนำผลการศึกษาไปกำหนดมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมตามมาตรา 27(11) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ประกอบกับมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ต่อไป
ดังนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การทุเลาการบังคับ ตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม จึงอาจเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของผู้ถูกฟ้องคดีได้ กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ตามคำขอผู้ฟ้องคดีได้ จึงมีคำสั่งยกคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดี ลงชื่อ นายดนัย ศรีโมรา ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์