บพข. หนุน มอ. ตั้งโรงงานต้นแบบกระท่อมการแพทย์ เสริมวิสาหกิจชุมชน
บพข. ผนึกกำลัง 6 หน่วยงาน ตั้งโรงงานผลิตสารสกัดกระท่อมมาตรฐาน GMP แห่งแรกของประเทศ มุ่งเน้นใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และอาหารมูลค่าสูง ดันวิสาหกิจชุมชนภาคใต้ได้ประโยชน์ ผู้บริโภคได้สินค้าที่มีมาตรฐาน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมอาหารและยาของประเทศ
จากกระแสเรื่องสมุนไพรที่มาแรงเป็นอย่างมากในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กัญชงและกัญชา ที่ได้มีการศึกษาวิจัยและได้มีการนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายในท้องตลาดอย่างหลากหลาย "กระท่อม" พืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ถูกจับตามอง หลังจากถูกยกเลิกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไปตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2564 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564
ซึ่งกระท่อมเป็นพืชท้องถิ่นทางภาคใต้ของไทย เนื่องด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของภาคใต้ที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืชกระท่อมจึงสามารถพบพืชกระท่อมได้มากในหลายจังหวัดภาคใต้ ในอดีตก่อนที่จะมีการประกาศให้กระท่อมเป็นสารเสพติดประเภท 5 ชาวบ้านในภาคใต้นิยมใช้ใบกระท่อมในการรักษาอาการต่าง ๆ เช่น อาการไอ ท้องร่วง ปวดท้อง ปวดฟัน และยังใช้รักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และใช้ทดแทนสารเสพติดชนิดอื่น
ปัจจุบันในหลายประเทศหันมาใช้ประโยชน์จากใบกระท่อมในการบำบัดผู้ติดสารเสพติด เนื่องจากมีผลวิจัยที่ระบุว่าสารเสพติดที่อยู่ในกระท่อมสามารถเลิกได้ง่ายกว่าสารเสพติดชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ยังได้มีการใช้กระท่อมในการบรรเทาอาการปวดทดแทนมอร์ฟีน รวมทั้งได้มีการนำมาแปรรูปเป็นแคปซูลแก้ปวดเมื่อย และผสมในยาชูกำลัง
อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากกระท่อมทางการแพทย์ในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายนัก ด้วยเหตุนี้ สถาบันวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์ ม.สงขลานครินทร์ จึงได้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบในการผลิตสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรเพื่อใช้ในทางการแพทย์และอาหารที่ได้มาตรฐาน GMP: ตัวอย่างการศึกษาพืชกระท่อมเป็นพืชต้นแบบ โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
ผู้อำนวยการบพข. พร้อมคณะผู้บริหาร และทีมงานจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ หรือ ทีเซลส์ (TCELS) คณะผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สถาบันเค อะโกร-อินโนเวท ภายใต้มูลนิธิกสิกรไทย (KAI) บริษัท อินเตอร์ฟาร์มา จำกัด กรมวิทยาศาสตร์บริการ และสภาอุตสาหกรรม ได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบในการผลิตสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรเพื่อใช้ในทางการแพทย์และอาหารที่ได้มาตรฐาน GMP ของม.สงขลานครินทร์
ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จ.สงขลา พร้อมทั้งเยี่ยมชมแปลงการผลิตพืชกระท่อมคุณภาพภายใต้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) และมาตรฐานของออร์แกนิค (Organic) ตลอดจนผลิตภัณฑ์แปรรูปกระท่อมของวิสาหกิจชุมชนภาคใต้
บพข. มีการทำงานร่วมกับทางอย.เนื่องจากมีงานวิจัยด้านสารสกัดรวมทั้งยาอีกหลายตัว ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ อย. เข้ามาดูในเรื่องของกระบวนการผลิตว่าได้มาตรฐานและปลอดภัย สามารถขึ้นทะเบียน อย. ได้หรือไม่ เพื่อให้งานวิจัยสามารถนำไปใช้ได้จริง
ศันสนีย์ ไชยโรจน์ กรรมการบริหาร TCELS กล่าวว่า ม.สงขลานครินทร์นั้นมีการทำงานวิจัยด้านกระท่อมมากที่สุดในประเทศ จึงได้มีแนวคิดในการที่จะมาพัฒนามหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดให้มีศักยภาพที่ดียิ่งขึ้น จากการหารือกับสถาบันวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์ ม.สงขลานครินทร์ อย. สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกรมวิทยาศาสตร์บริการ เพื่อร่วมมือในการพัฒนาห้องปฏิบัติการมาตรฐาน ISO 17025 สำหรับตรวจสอบสารปนเปื้อน คุณภาพของสารสกัดกระท่อม ตลอดจนผลิตสารมาตรฐาน
ซึ่งโครงการนี้ บพข. ได้ให้การสนับสนุนครุภัณฑ์ที่ใช้ในโรงงานและสร้างห้องปฏิบัติการให้ได้มาตรฐาน GMP และ ISO17025 รวมทั้งการจัดทำ Database และ Traceability เพื่อให้สามารถเป็น Healthy Project อย่างแท้จริงได้
นอกจากนี้ยังต้องขอขอบคุณภาคเอกชน คือ มีโรงงานผลิตยาที่ได้มาตรฐาน GMP/PICs ที่เข้ามาช่วย Matching กับทั้งทางโรงงานฯ และทางวิสาหกิจชุมชน เพื่อช่วยเกษตรกรให้มีรายได้จากการเพาะปลูกกระท่อมที่ได้คุณภาพ ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันพืชสมุนไพรกระท่อมสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
นพ.วรวิทย์ วาณิชย์สุวรรณ ผอ.การสถาบันวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์ ม.สงขลานครินทร์ หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดรับกระท่อม 2 แบบ คือ แบบตากแห้ง และแบบบดผง และกระท่อมที่จะสามารถนำไปใช้ทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ด้านอาหารได้นั้นจะต้องเป็นใบกระท่อมที่มีคุณภาพ ต้องเพาะปลูกในพื้นที่ปลอดสารเคมีและโลหะหนัก สารสำคัญในกระท่อมขึ้นอยู่กับอายุของใบกระท่อม ยิ่งใบแก่ ยิ่งมีสาร Mitragynine มาก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องของพื้นที่เพาะปลูก
โดยกระท่อมที่เพาะปลูกในภาคใต้ พบว่ามีสาร Mitragynine มากกว่ากระท่อมที่เพาะปลูกในภูมิภาคอื่น ปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกกระท่อมมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ได้นำเอากระท่อมสายพันธุ์ที่อยู่ในภาคใต้ของไทยไปใช้เพาะปลูกเช่นกัน
ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ใช้ทางการแพทย์และอาหารได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสามารถส่งต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปยังภาคเอกชนที่มีโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP/PICs จะทำให้สามารถขยายขนาดการผลิตออกสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ได้ ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านการส่งออกสารสกัดกระท่อมของประเทศ
จากนโยบายส่งเสริมการใช้สมุนไพรของรัฐที่ส่งเสริมให้โรงพยาบาล-สถานพยาบาลใช้สมุนไพรทดแทนการนำเข้ายาแผนปัจจุบัน ประกอบกับเทรนด์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพ จึงนับเป็นโอกาสที่ดีในการผลักดันให้กระท่อมกลายมาเป็นอีกหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ในอนาคต
นอกจากสรรพคุณด้านการรักษาอาการและโรคต่าง ๆ แล้ว การใช้กระท่อมในการบำบัดสารเสพติดชนิดอื่น เช่น ยาบ้า เฮโรอีน ไอซ์ และแอลกอฮอล์ ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัยกว่าและก่อให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยอีกด้วย