บริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐใช้ AI ทำงาน 60% ส่วนใหญ่คือกลุ่มการผลิต-สายสุขภาพ
รายงานจาก MIT เผยว่า บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐใช้เอไอทำงาน 60% กลุ่มที่ใช้เอไอจริงจังคือ อุตสาหกรรมการผลิต, ผู้ให้บริการข้อมูล และสายสุขภาพ กลุ่มที่ใช้เอไอน้อยสุดคือ อุตสาหกรรมก่อสร้างและธุรกิจค้าปลีก
เอไอไม่ได้ครอบงำธุรกิจทั้งโลกรวดเร็วเหมือนที่หลายคนคิด รายงานสำรวจการใช้เอไอในสหรัฐของ MIT Initiative on the Digital Economy ที่ทำงานร่วมกับสํานักสํามะโนประชากรและศูนย์สถิติวิทยาศาสตร์-วิศวกรรมแห่งชาติ สำรวจบริษัท 447,000 แห่ง สตาร์ตอัป 75,000 แห่ง ชี้ให้เห็นว่า ปี 2560 บริษัทในสหรัฐเพียง 6% เท่านั้นที่นำเอไอมาใช้ทำงาน
ผลสำรวจปี 2566 ในเดือนพ.ย. ยังแสดงให้เห็นอีกว่า กลุ่มที่ใช้เอไอมากที่สุดเป็นบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 5 พันคนใช้เอไอ 50% และบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 1 หมื่นคน ใช้เอไอ 60%
โดยกลุ่มที่ใช้เอไอจริงจัง คือ อุตสาหกรรมการผลิต, ผู้ให้บริการข้อมูล และสายสุขภาพ ซึ่งใช้เอไอแล้วประมาณ 12% ของบริษัททั้งหมด ส่วนกลุ่มที่ใช้เอไอน้อยสุดคือ กลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างและธุรกิจค้าปลีก มีเพียงแค่ 4% ของบริษัททั้งหมด
นอกจากนี้ การนำเอไอมาใช้ยังกระจุกตัวอยู่แค่ละแวก “เมืองซูเปอร์สตาร์” บางแห่ง เช่น ซานฟรานซิสโก ซานอันโตนิโอ และแนชวิลล์ แต่ก็พบในเมืองที่ไม่คาดคิด เช่น ศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคตะวันตกกลาง และเมืองทางใต้ของสหรัฐที่มีบริษัทตั้งอยู่น้อย
ส่วนของสตาร์ตอัป ธุรกิจที่ใช้เอไอมักจะมีผู้บริหารที่อายุน้อย การศึกษาระดับสูง มีประสบการณ์สูง และเป็นสตาร์ตอัปที่ได้รับทุนจาก VC มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรมทั้งกระบวนการอย่างจริงจัง
Kristina McElheran นักวิชาการจาก MIT ผู้เขียนหลักของรายงานฉบับนี้กล่าวว่า อุปสรรคของการนำเอไอมาใช้ทำงานคือ ความเฉื่อยชาและต้นทุนการปรับตัว บริษัทที่สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานได้มักมีแนวโน้มใช้เอไอมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใช้เอไอสายสุขภาพ มีการนำหุ่นยนต์มาใช้ และนำเอไอมาใช้เรื่องง่ายๆ เช่น ปรับตารางผ่าตัดให้เหมาะสม การเขียนโค้ด และระบบการเบิกจ่ายอัตโนมัติ เป็นต้น
อ้างอิง: MIT Sloan