ทำไม OpenAI ถึงสนใจซื้อ Chrome จากกูเกิล?

ทำไม OpenAI ถึงสนใจซื้อ Chrome จากกูเกิล?

OpenAI พิจารณาซื้อ Chrome หากศาลสั่งกูเกิลขายเบราว์เซอร์ยอดนิยม หลังแพ้คดีผูกขาดตลาดค้นหา และโฆษณาออนไลน์ เผยเคยพยายามขอร่วมมือแต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่กูเกิลยังคงยืนยันอุทธรณ์ และเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีเอไอกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์

KEY

POINTS

  • ศาลตัดสินว่า กูเกิลผูกขาดตลาดค้นหา และโฆษณาออนไลน์ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาบทลงโทษซึ่งอาจรวมถึงการบังคับขาย Chrome
  • Chrome มีผู้ใช้ 3.2 พันล้านคนทั่วโลก OpenAI เปิดเผยว่าสนใจซื้อต่อ เพราะต้องการรวม ChatGPT เ

ขณะที่คดีต่อต้านการผูกขาดระหว่างกูเกิล กับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ประเด็นที่น่าจับตามองคือ OpenAI ได้เปิดเผยความสนใจที่จะซื้อเบราว์เซอร์ Chrome หากศาลมีคำสั่งให้กูเกิลต้องขายสินทรัพย์สำคัญนี้

คดีต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) เริ่มต้นขึ้นเมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ร่วมกับหลายรัฐยื่นฟ้องร้องกูเกิลในข้อหาผูกขาดตลาดการค้นหา และโฆษณาออนไลน์ โดยศาลกลางในสหรัฐได้มีคำตัดสินว่า

กูเกิลใช้วิธีจ่ายเงินมหาศาลให้แก่บริษัทต่างๆ เช่น Apple, Samsung และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ Google Search เป็นตัวเลือกเริ่มต้นบนอุปกรณ์ ซึ่งส่งผลให้การแข่งขันในตลาดถูกจำกัดอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ ผู้พิพากษาในมลรัฐเวอร์จิเนียยังได้ระบุว่า กูเกิลใช้วิธีควบรวมระบบโฆษณาต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้เผยแพร่โฆษณา และนักโฆษณาแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ระบบของกูเกิลเท่านั้น กลยุทธ์การควบรวมดังกล่าวได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว

ปัจจุบัน กูเกิลกำลังอยู่ในช่วง “การพิจารณาบทลงโทษ” ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการที่รุนแรง เช่น การสั่งให้แยกธุรกิจบางส่วนออกจากกัน รวมถึงความเป็นไปได้ที่อาจต้องขาย Chrome ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ยอดนิยม และถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์สำคัญของบริษัท

เหตุผลที่ OpenAI หมายตา Chrome

ระหว่างการไต่สวน นิค เทอร์ลีย์ (Nick Turley) หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของแชตจีพีทีได้ให้การว่า หากกูเกิลถูกสั่งให้ขาย Chrome บริษัทของเขามีความสนใจอย่างยิ่งที่จะเข้าซื้อเบราว์เซอร์นี้ เนื่องจากการครอบครอง Chrome จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดการค้นหาที่กูเกิลกำลังครองอำนาจอยู่

ปัจจุบัน Chrome มีผู้ใช้มากกว่า 3.2 พันล้านคน (ตามข้อมูลปี 2025) ทั่วโลก การเป็นเจ้าของ Chrome จะเอื้อประโยชน์ให้ OpenAI สามารถผสานเทคโนโลยีเอไอของตน โดยเฉพาะแชตจีพีที เข้ากับเบราว์เซอร์ได้โดยตรง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงความสามารถของเอไอได้อย่างสะดวกในทุกการท่องเว็บ แทนที่จะต้องพึ่งพาคู่แข่งอย่าง Microsoft (Bing)

เทอร์ลีย์ เน้นย้ำว่า “การค้นหาเป็นส่วนสำคัญของแชตจีพีทีในการให้คำตอบที่ทันสมัย และถูกต้องแก่คำถามของผู้ใช้” ซึ่งบ่งชี้ว่า OpenAI กำลังมองหาวิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลเพื่อให้บริการที่ดียิ่งขึ้น

กูเกิลปฏิเสธการร่วมมือมาแล้วครั้งหนึ่ง

เอกสารที่ได้เปิดเผยในชั้นศาลยังแสดงให้เห็นว่า OpenAI เคยพยายามขอความร่วมมือจากกูเกิล มาก่อนหน้านี้ โดยเมื่อกลางปี 2024 บริษัทได้ติดต่อกูเกิลเพื่อขอใช้เทคโนโลยีการค้นหาในแชตจีพีที หลังจากที่ประสบปัญหากับผู้ให้บริการค้นหารายเดิม 

อย่างไรก็ตาม กูเกิลได้ปฏิเสธคำขอดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่าเป็นการทำงานร่วมกับคู่แข่งโดยตรง ส่งผลให้ทีม OpenAI ต้องหันไปใช้บริการของ Bing แทน

แม้ว่ากูเกิลจะยืนยันว่าจะอุทธรณ์คำตัดสิน และไม่มีแผนที่จะขาย Chrome แต่หากศาลมีคำสั่งให้แยกขายจริง OpenAI อาจไม่ใช่ผู้ซื้อเพียงรายเดียวที่สนใจ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Microsoft หรือแม้แต่ Amazon ก็อาจเข้าร่วมประมูลเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยเช่นกัน

โทมัส มอนเตโร (Thomas Monteiro) นักวิเคราะห์จาก Investing.com มองว่า การที่ OpenAI ได้ครอบครอง Chrome จะเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจในตลาดเอไออย่างฉับพลัน เพราะนอกจากจะเป็นการลดทอนอิทธิพลของกูเกิลแล้ว ยังจะผลักดันให้ OpenAI ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับแนวหน้าในวงการเสิร์ชเอนจินที่เคยถูกผูกขาดมาเป็นเวลานาน

ในขณะเดียวกัน กูเกิลยังคงยืนยันว่า Chrome เป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศทางธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีเอไอของบริษัท เช่น Gemini และไม่มีความจำเป็นต้องแยกขายแต่อย่างใด

กูเกิลยืนยันลงทุนหนักในเอไอ

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางกฎหมาย อัลฟาเบต บริษัทแม่ของกูเกิล และยูทูบ ก็ยังคงรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2025 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (24 เม.ย.68) โดยมีรายได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นทันทีหลังจากที่ตลาดปิดทำการ

ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกูเกิล ได้ระบุว่าการเติบโตครั้งนี้มาจากความสามารถของบริษัทในการพัฒนาเทคโนโลยีเอไออย่างครบวงจร โดยเฉพาะการเปิดตัวโมเดล Gemini 2.5 ที่เป็นไฮไลต์สำคัญในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ ฟีเจอร์ AI Overviews ในระบบค้นหาก็มีผู้ใช้งานมากถึงเดือนละ 1.5 พันล้านคน และยังแสดงแนวโน้มการสร้างรายได้ที่น่าพอใจอีกด้วย

ที่สำคัญ บริษัทยังได้ยืนยันแผนการลงทุนในเทคโนโลยีเอไอมูลค่ามหาศาลถึง 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ตลอดทั้งปี แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากคดีความ และการแข่งขันที่รุนแรงก็ตาม ขณะนี้คดีต่อต้านการผูกขาดยังคงอยู่ในช่วง “พิจารณามาตรการแก้ไข” โดยศาลอาจมีคำตัดสินขั้นสุดท้ายภายในปลายปี 2025

อ้างอิง: FortuneReuters และ Business Insider

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์