ผลกระทบใหญ่จาก ‘เอไอเสิร์ช’ SEO ปรับตัวอย่างไรให้รอด?

ผลกระทบใหญ่จาก ‘เอไอเสิร์ช’ SEO ปรับตัวอย่างไรให้รอด?

เมื่อเอไอยึดพื้นที่ “เสิร์ชเอนจิน” แนวโน้มของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ในปี 2025 ควรเป็นไปในทิศทางไหน ธุรกิจจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรให้ทันกับพฤติกรรมผู้ใช้? กรุงเทพธุรกิจ ชวนหาคำตอบ

“SEO ในปี 2025 จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ คอนเทนต์คุณภาพ, Personalization และ Voice Search ธุรกิจที่ยังคงใช้กลยุทธ์เก่า เช่น การยัดไส้คีย์เวิร์ด หรือสร้างคอนเทนต์แบบผิวเผิน อาจสูญหายจากผลการค้นหา เพราะตอนนี้ เอไอเสิร์ชได้เข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัวแล้ว”

เซซิเลีย เดซิม่า ผู้จัดการโครงการตลาดดิจิทัลของบริษัท ดับบลิวเอสไอ จำกัด กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญในโลกการค้นหาออนไลน์

ในปี 2025 การเข้ามาของเอไอกำลังเปลี่ยนแปลงวงการเสิร์ชเอนจิน โดยเราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างที่สำคัญคือ OpenAI ได้เปิดให้ทุกคนที่มีบัญชีสามารถเข้าถึงบริการค้นหาอัจฉริยะ ChatGPT Search ได้ฟรี โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน ซึ่งก่อนหน้านี้จำกัดการใช้งานเฉพาะผู้ใช้แบบเสียค่าสมาชิกเท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การค้นหาออนไลน์เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก และพฤติกรรมของผู้ใช้งานก็เปลี่ยน เนื่องจากเอไอมีความฉลาดขึ้น และมันสามารถสรุปคำตอบที่รวบรัดมาให้ผู้ใช้ ซึ่งก็เป็นการเพิ่มทางเลือก แต่ในมุมมองคนทำธุรกิจสิ่งนี้มันกำลังดิสรัปชันหรือไม่? 

เอไอเสิร์ชทำให้การเข้าชมเว็บไซต์ลดลง?

อธิบายให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น สมัยก่อนเวลาเราค้นหาอะไรในกูเกิล มันจะหาแบบตรงๆ ตามคำที่เราพิมพ์เท่านั้น เช่น ถ้าเราพิมพ์ “วิธีทำไข่เจียว” มันก็จะหาเว็บที่มีคำว่า “ทำไข่เจียว” แบบตรงๆ แต่ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของเอไอ เครื่องมือค้นหาฉลาดขึ้นมาก เข้าใจภาษาคนมากขึ้น เช่น ถ้าเราพิมพ์ “อยากกินไข่เจียว ทำยังไงดี” มันก็เข้าใจว่าเราต้องการสูตรทำไข่เจียว แถมยังแนะนำเทคนิคต่างๆ ให้ด้วย

ยิ่งพอมี ChatGPT เข้ามา มันยิ่งเหมือนมีเพื่อนคอยช่วยตอบคำถาม ไม่ใช่แค่โยนลิงก์มาให้อ่านเอง แต่มันช่วยอธิบายให้เราเข้าใจ เหมือนมีครูส่วนตัวคอยช่วยหาข้อมูล และอธิบายให้ฟัง แถมถ้าเราไม่เข้าใจตรงไหน ก็ถามต่อได้เลย

ทั้งนี้ การมาของเอไอไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาตัวแชตบอต กูเกิล (Google) ผู้ครองบัลลังก์เสิร์ชเอนจินมาอย่างช้านานก็ยังบอกว่า ยุค “SGE (Search Generative Experience)” ก็มาถึงแล้วเช่นเดียวกัน โดยกูเกิลได้นำเอไอมาใช้ในการสร้างสรุปคำตอบจากเว็บไซต์ต่างๆ และแสดงผลบนหน้าแรก ทำให้ผู้ใช้อาจไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ 

นอกจากนี้แล้ว การที่กูเกิลเปิดตัวฟีเจอร์ Overviews ที่สรุปข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง และนำเสนอคำตอบแบบครบถ้วนในหน้าเดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องเปิดเว็บไซต์เพิ่มเติม แนวโน้มนี้ส่งผลให้การเข้าชมเว็บไซต์ลดลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Zero-Click Searches

จาก SEO สู่ SGE

ศิริพงษ์ กลิ่นขจร ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เนิร์ดออพทิไมซ์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการทำตลาดออนไลน์ แบ่งปันมุมมองในงาน Money InsureX FORUM ว่า ขณะนี้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน ฉะนั้น การทำ SEO เฉพาะบนกูเกิลอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แม้ว่ากูเกิลจะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่มีสัดส่วนการค้นหาถึง 40% ของการค้นหาทั้งหมดก็ตาม

โดยเขาได้ยกตัวอย่างว่า เมื่อค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกัน เช่น “ประกันรถยนต์ชั้น 1” “ประกันชั้น 1” หรือ “ราคาประกันชั้น 1” ผลการค้นหามักจะคล้ายคลึงกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำคอนเทนต์ที่ดีเพียงชิ้นเดียวสามารถติดอันดับได้หลายคีย์เวิร์ด หากทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การที่กูเกิลได้อัปเดตระบบการแสดงผลการค้นหาเป็น SGE ซึ่งมีการนำเอไอเข้ามาใช้มากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่สำหรับผลการค้นหาแบบออร์แกนิกลดลง พฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ก็เปลี่ยนไป โดยมีแนวโน้มที่จะใช้คำค้นหาที่ยาว และเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้เกิด Long Tail Keyword มากขึ้น

“แม้กูเกิลจะเป็นผู้นำในตลาด แต่การค้นหาอีกกว่า 60% เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น ยูทูบ ติ๊กต็อก และมาร์เก็ตเพลสอื่นๆ ดังนั้น หากต้องการครองตลาดอย่างแท้จริง ธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจ Touchpoint ของลูกค้าและทำการตลาดให้ครอบคลุมทุกช่องทางที่ลูกค้าใช้งาน”

ข้อจำกัดของ SGE 

ศิริพงษ์ อธิบายเพิ่มอีกว่า ในปัจจุบัน ระบบ SGE ยังมีข้อจำกัดหลายประการเมื่อเทียบกับการทำ SEO แบบดั้งเดิม 

ประการแรก ผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงให้ความเชื่อถือ และต้องการเนื้อหาที่เขียนโดยมนุษย์มากกว่า โดยเฉพาะในด้านการรีวิวสินค้าหรือบริการ พวกเขาต้องการเนื้อหาที่มีความน่าเชื่อถือ สร้างสรรค์ และหลากหลาย 

ด้วยเหตุนี้ การอัปเดตข้อมูลโดย “ฝีมือมนุษย์” อย่างสม่ำเสมอจึงยังคงมีความสำคัญ อีกทั้งตัวเอไอเองก็ยังต้องพึ่งพาข้อมูลที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อนำมาแสดงผลบน SGE

ประการที่สอง คำตอบที่ได้จากฟีเจอร์ AI Snapshots ของ SGE นั้นยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างครบถ้วน ผู้ใช้ยังจำเป็นต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้คำตอบที่ครอบคลุม และเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล

ประการสุดท้าย เนื่องจาก Google Ads เป็นแหล่งรายได้หลักของกูเกิลหากการมาของ SGE ทำให้เว็บไซต์ต่างๆ ไม่ได้รับการเข้าชมเลย กูเกิลเองก็จะได้รับผลกระทบด้านรายได้ด้วยเช่นกัน

จากเหตุผลทั้งหมดนี้ สรุปได้ว่า SGE จะไม่ทำให้การเข้าชมเว็บไซต์หายไป แต่อาจส่งผลกระทบในบางส่วนเท่านั้น ดังนั้น บริษัทที่ให้บริการด้าน SEO ยังคงต้องมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ และเนื้อหาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้อย่างครบถ้วน

อนาคตของ SEO ในยุคของ SGE และเอไอเสิร์ช

เซซิเลีย เดซิม่า ผู้จัดการโครงการตลาดดิจิทัลของ บริษัท ดับบลิวเอสไอ จำกัด และยังเป็นพาร์ตเนอร์ของกูเกิล อธิบายว่า การทำ SEO ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้จะไม่ทันสมัยเท่ากับการใช้เอไอ แต่ก็ยังเป็นพื้นฐานของแผนการทำตลาด โดยเฉพาะกับร้านค้าเล็กๆ สามารถยิงแอดโฆษณาในแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือการทำการตลาดทางอีเมลก็ยังไม่สายเกินไป 

กลยุทธ์ที่เซซิเลียอยากให้ธุรกิจเล็กๆ ปรับใช้ได้แก่ การศึกษาคู่แข่ง และปรับปรุงเว็บไซต์ของตน การเน้นคีย์เวิร์ดที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ 

สิ่งที่เธอแนะนำอีกหนึ่งอย่างคือ “การค้นหาด้วยเสียง” (Voice Search) ยังเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญ แบรนด์ต้องสร้างเนื้อหาที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมเพื่อรักษาความสามารถในการมองเห็นบนเสิร์ชเอนจิน เพราะปัจจุบันมีผู้ใช้หลายคนนิยมการค้นหาด้วยเสียง แม้กระทั่งการเสิร์ชหาในแชตบอตเอไอ

“ตอนนี้เอไอเก่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เวลาเราทำเว็บหรือขายของออนไลน์ เราต้องฉลาด และตามให้ทัน โดยเฉพาะการเน้นที่ Personalization ของผู้ใช้หรือลูกค้า เว็บต้องปรับตัวตามความชอบของผู้ใช้ ไม่ใช่โชว์เหมือนกันทุกคน เหมือนพนักงานขายที่จำได้ว่าลูกค้าแต่ละคนชอบอะไร แล้วแนะนำของให้ตรงใจ” เซซิเลีย กล่าวทิ้งท้าย 

 

 

อ้างอิง: How Does an SEO Expert Help You Rank in AI Search Results?

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์