โกเจ็กส่ง'เก็ท'จุดพลุตลาดไทย

นายภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เก็ท กล่าวว่า เตรียมเปิดตัวแอพพลิเคชั่นบริการเรียกรถภายใต้แบรนด์ “เก็ท(GET)” ในพื้นที่กรุงเทพมหานครในอีกไม่กี่เดือนจากนี้  โดยจะเป็นแอพพลิเคชั่นแบบออนดีมานด์ที่ให้บริการหลากหลายเริ่มจากบริการเรียกรถสาธารณะ ก่อนขยายไปสู่บริการอื่นๆ ต่อไป

ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจของ “โกเจ็ก(GOJEK)” ในประเทศต่างๆ ซึ่งแบรนด์ “เก็ท” ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อคนไทย และบริหารจัดการโดยทีมผู้ก่อตั้งคนไทยที่มีประสบการณ์ในธุรกิจด้านเทคโนโลยีและมีความเข้าใจในความต้องการของทั้งผู้บริโภค คนขับ รวมถึงหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ขณะเดียวกันจะได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเงินลงทุนจากโกเจ็ก

“เราหวังเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย ทำให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทางหนึ่งเพิ่มรายได้ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและธุรกิจต่างๆ ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยีและคำแนะนำจากโกเจ็ก มั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาและขยายธุรกิจในไทยได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง พร้อมก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์และตรงใจของคนไทยได้อย่างแน่นอน"

ขณะนี้เก็ทยังได้เริ่มมีการพูดคุยกับหลายฝ่ายทั้งภาครัฐ กลุ่มคนขับ และผู้บริโภค เพื่อนำมาพัฒนาให้พร้อมสำหรับการเปิดตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เชื่อว่าโอกาสยังคงเปิดกว้างไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้บริโภค คนขับรถสาธารณะ รวมถึงธุรกิจรายย่อย

นายนาดีม มาคาริม ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โกเจ็ก กล่าวว่า จากนี้บริษัทจะทำงานร่วมกับเก็ทในด้านการสนับสนุนเทคโนโลยี รวมถึงให้คำปรึกษาทั้งในด้านการพัฒนาและขยายธุรกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ที่ผ่านมา รูปแบบธุรกิจของบริษัทเป็นที่ยอมรับว่าประสบความสำเร็จในอินโดนีเซีย เนื่องจากให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคและพาร์ทเนอร์คนขับ จึงเชื่อว่ารูปแบบธุรกิจดังกล่าวจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศอื่นๆ ได้เช่นกัน

“โกเจ็ก” ก้าวขึ้นเป็นยูนิคอร์นบริษัทแรกของอินโดนีเซียได้สำเร็จ ด้วยความเชื่อที่ว่าเทคโนโลยีสามารถนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาด้านชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในประเทศได้ ส่วน “เก็ท” ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “โกเจ็ก” ที่เริ่มต้นจากการมองเห็นปัญหาการจราจรที่เกิดขึ้นทุกวันให้กลับกลายเป็นโอกาสที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนหลายล้านคน ทีมงานของเก็ทต่างมีความตั้งใจที่จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับประเทศไทย