‘เร้ดแฮท’ ถอดรหัสไอที เพิ่มความสำเร็จดิจิทัลแบงกิ้ง

ระบบไอทีที่ธนาคารใช้อยู่มักขาดความยืดหยุ่น มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง

เทคโนโลยี กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดำเนินไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง....

อาร์วิน สวามี ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เร้ดแฮท กล่าวว่า สำหรับธุรกิจธนาคารต้องยอมรับว่าการดำเนินงานมีการเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า ทว่ากลับพบปัจจัยที่สามารถปรับโฉมได้อย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด

โดยหนึ่งในปัจจัยดังกล่าวคือ การที่หน่วยงานที่กำกับดูแลออกใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “ธนาคารดิจิทัล” ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศ ใบอนุญาตดังกล่าวอาจจะยินยอมผู้ได้รับใบอนุญาตที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจธนาคารมาก่อน (non-banking) สามารถดำเนินกิจกรรมบางชนิดได้เหมือนธนาคาร

ตัวอย่างเช่น การรับเงินฝากจากลูกค้ารายย่อย และการให้สินเชื่อให้กับธุรกิจต่างๆ การที่บริษัทเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีสาขาที่ตั้ง จึงเรียกกันว่าเป็น online-only, virtual banking หรือ neo-bank

เร้ดแฮทพบว่า ผู้เล่นรายใหม่เหล่านี้ รวมถึงฟินเทคทั้งหลายทำให้ความคาดหวังของลูกค้าต่อบริการต่างๆ ของธนาคารเพิ่มขึ้น ผลการวิจัยล่าสุดของฟอร์เรสเตอร์พบว่า 77% ของลูกค้าธนาคารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกชอบที่จะติดต่อกับผู้ให้บริการทางการเงินของตนบนช่องทางดิจิทัลต่างๆ มากกว่า

โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีการใช้งานอุปกรณ์โมบายสูงมาก เช่น ประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และไทย โดยเกือบ 3 ใน 4 ยังเชื่อด้วยว่าพวกเขาควรจะสามารถทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ ให้สำเร็จได้บนอุปกรณ์พกพา

ลดซับซ้อน-เพิ่มผลลัพธ์ธุรกิจ

ปัจจุบัน ขณะที่ธนาคารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เป็นเจ้าตลาดมาแต่เดิมกำลังมองหาวิธีจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาข้างต้น พวกเขายังจำเป็นต้องให้ความสนใจกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของตน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนและทำให้รูปแบบทางธุรกิจต่างๆ ของธนาคารทำงานได้อย่างราบรื่น

ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีจะต้องเป็นส่วนที่ดูแลจัดการกับธุรกรรมที่ต้องมีการประมวลผลมากๆ เช่นการซื้อขายหุ้น พันธบัตร การแลกเปลี่ยนเงินตราหรือตราสารอนุพันธ์ หรือ ทำการอนุญาตให้ลูกค้ารายย่อยทำการซื้อขายผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนได้

อย่างไรก็ตาม ระบบไอทีหลักต่างๆ ที่ธนาคารใช้อยู่ปัจจุบันมักขาดความยืดหยุ่น มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง และยากที่จะผสานหรือบูรณาการร่วมกับช่องทางต่างๆ ที่ลูกค้าใช้อยู่ ขณะที่การบูรณาการการทำงานเข้าด้วยกันเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถสร้างเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่น ที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง สามารถปรับตัวให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นได้

ดังนั้น เพื่อก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ ธนาคารต่างๆ ในภูมิภาคนี้จึงกำลังปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมไอทีดั้งเดิมที่มีขนาดใหญ่เทอะทะและไม่ยืดหยุ่นให้เป็นสถาปัตยกรรมที่เปิดกว้างมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างคล่องตัว

ปรับตัวรับการแข่งขันสนามใหม่

เขากล่าวว่า สถาปัตยกรรมแบบใหม่จะมีความสามารถที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ด้วยที่ผ่านมาข้อมูลของลูกค้าเพียงหนึ่งรายการ อาจเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินหลายรายการ ดังนั้นระบบของธนาคารที่ทำงานผ่านช่องทางการเชื่อมต่อ (Application Programming Interface: APIs) จะช่วยให้สามารถให้บริการกิจกรรมหลายอย่างได้ดีขึ้น สำคัญสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่องและคงไว้ซึ่งมาตรฐานแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ต้องมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรมทางไอที เพื่อที่ระบบไอทีจะสามารถให้การสนับสนุนรูปแบบทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งประโยชน์ที่จะได้รับ ช่วยสนับสนุนความคล่องตัวทางธุรกิจผ่านการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปลี่ยนแปลงเป็นความท้าทายที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ธนาคารจึงจำเป็นต้องมีความสามารถในการพัฒนาและปรับเปลี่ยนตรรกะในการให้บริการ กฎเกณฑ์ทางธุรกิจ และรูปแบบการคาดการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงปรับตัวให้สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ออกมาใหม่ๆ และรับมือกับการแข่งขันรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นให้ได้

’โอเพ่นซอร์ส’กุญแจสำคัญ

อาร์วินเผยว่า ธนาคารหลายแห่งกำลังเริ่มกระบวนการปรับเปลี่ยนเพื่อความทันสมัยด้วยการทำให้ไอทีเป็นเรื่องง่ายและใช้ประโยชน์จากโซลูชั่นโอเพ่นซอร์ส เพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ลูกค้ามีส่วนร่วม และมอบประสบการณ์ที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า

รายงานของเร้ดแฮทระบุว่า 93% ของผู้นำด้านไอทีจากอุตสาหกรรมบริการทางการเงินทั่วโลก กล่าวว่า เอ็นเตอร์ไพรส์โอเพ่นซอร์สมีความสำคัญต่อองค์กรของพวกเขา โดยผู้ตอบแบบสำรวจระบุถึงเหตุผลสำคัญที่สุดในการใช้เอ็นเตอร์ไพรส์โอเพ่นซอร์สว่า ช่วยให้ธนาคารสามารถเข้าถึงและได้ใช้งานนวัตกรรมล่าสุดต่างๆ และบรรลุเป้าหมายการรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น

"การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเงิน ช่วยให้ธนาคารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รวมถึงความคล่องตัวในการดำเนินงาน ธนาคารที่จะสามารถมอบประสบการณ์ที่คล่องตัวและราบรื่นตรงตามความคาดหวังต้องมีแพลตฟอร์มที่มีความเสถียร ยืดหยุ่นสูง สามารถปรับขนาด และปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ”