‘ซีเมนส์’ เปิดวิชั่น ‘เมืองอัจฉริยะ’ มหานครแห่งโลกอนาคต

สหประชาชาติ ประมาณการว่า ภายในปี 2593 จะมีจำนวนประชากรบนโลกเพิ่มขึ้นอีก 2 พันล้านคน ส่งผลให้เมืองขนาดใหญ่แบบมหานคร Mega Urban City มีจำนวนมากขึ้นในอีก 15 ปีข้างหน้า และสถิติเฉลี่ยปัจจุบัน มีผู้อาศัยในเมืองใหญ่ราว 55% ขณะที่ 45% อยู่นอกเขตเมือง โดยอีก 30 ปีข้างหน้า คาดว่าสัดส่วนผู้อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่จะเพิ่มเป็น 68% 

จากการวิจัยของซีเมนส์ ประเทศไทยปัจจุบันมีอัตราการอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ราว 50% นอกเหนือจากเมืองขนาดใหญ่แบบมหานคร Mega Urban City ที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นด้านสภาพภูมิอากาศหรือโรคระบาดร้ายแรงต่างๆ 

สุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอ ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้การพัฒนาเมืองใหญ่ และเตรียมการด้านต่างๆ เพื่อรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าวกลายเป็นภารกิจสำคัญ เช่น บริหารสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัย การบริการทางสังคม บริการสาธารณสุข หรือแม้แต่การศึกษา ความท้าทายเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ได้ด้วยเทคโนโลยีเดิมๆ ที่มีอยู่ 

ขณะที่เทรนด์การเติบโตของมหานคร (Urbanization) และดิจิทัลไลเซชั่น (Digitalization) ได้พัฒนาจนเกิดเป็นมิติใหม่สำหรับคนเมือง ดังนั้น “เมืองอัจฉริยะ” จึงนับเป็นหนึ่งในคำตอบที่จะเข้ามาช่วยบริหารเรื่องใหม่ๆ เหล่านี้

เมืองอัจฉริยะคืออะไร

เมืองอัจฉริยะ คือ การผสานรวมวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองใหญ่ มุ่งบริหารทรัพยากรของเมืองอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้คนที่อาศัยในเมือง ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาจัดการ ลดทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 

สุวรรณี กล่าวว่า การสร้างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น ต้องมีเทคโนโลยีสำคัญ 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.สมาร์ทกริด หรือโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะนำเทคโนโลยีหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบเซ็นเซอร์ การควบคุมอัตโนมัติเพื่อให้ระบบไฟฟ้ากำลังสามารถรับรู้ข้อมูลสถานะต่างๆ ในระบบได้เรียลไทม์รวมถึงระบบสารสนเทศ ระบบเก็บข้อมูล และระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้โครงข่ายไฟฟ้าตอบสนองต่อความต้องการผู้ใช้ได้ชาญฉลาดมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง ยั่งยืนปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

“ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะจะต้องครอบคลุมระบบไฟฟ้าทั้งหมด รวมตั้งแต่ระบบการผลิต ระบบส่ง ระบบจำหน่าย จนถึงระบบของผู้ใช้ไฟฟ้า”

2.อาคารอัจฉริยะ ภายในปี 2593 ประชากรโลกกว่า 70% จะพำนักอาศัยอยู่ภายในอาคาร และจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต หมายความว่า ความคาดหวังของผู้อยู่อาศัยจะสูงขึ้นตาม อาคารต้องเป็นมากกว่าโครงสร้างผนังและหลังคา ต้องมีระบบอัจฉริยะตอบสนองความต้องการผู้อยู่อาศัยได้ สามารถเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้าสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ที่สำคัญ คือ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3.ระบบไอซีทีอัจฉริยะ ปีนี้อุปกรณ์มากกว่า 5 หมื่นล้านชิ้น จะเชื่อมต่อกันได้ และ 1 ใน 5 ของอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกใช้อยู่ภายในอาคาร หมายความว่า ข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลถูกสร้างขึ้น หัวใจสำคัญ คือ สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้และวิเคราะห์ได้อย่างไร ถึงทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหาร ตอบสนองความต้องการระดับชุมชนและระดับบุคคล เมืองอัจฉริยะเกิดขึ้นได้ เมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานผสานกัน