‘อี.พี.เดคคอร์’ พลิกโฉมธุรกิจรางผ้าม่านสู่ ‘สมาร์ทฟาร์ม’

บริษัท อี.พี.เดคคอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มกิจการตั้งแต่ปี 2543 จากที่เป็นเพียงตัวแทนจำหน่ายในลักษณะซื้อมาขายไป กระทั่งมุ่งสู่การผลิตและจำหน่ายเองบนพื้นที่ 2.5 ไร่ใน จ.เชียงใหม่ กระทั่งเกิดวิกฤติโควิด-19 กระทบต่อยอดขายรางผ้าม่านและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย จึงถูกลดละจากการใช้สอยจากผู้บริโภค

เมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องปรับตัว สราวุธ สินสำเนา กรรมการผู้จัดการ จึงต้องพึ่งพาการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และใช้กลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์ดึงดูดลูกค้า ขณะเดียวกันยังได้จัดทำแปลงปลูกผัก ให้พนักงานเก็บเกี่ยวไปประกอบอาหาร ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ กระทั่งนำมาสู่ไอเดียติดตั้งระบบอัตโนมัติในโรงเรือน โดยจัดทีมพนักงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลมาพัฒนาเทคโนโลยีให้การเพาะปลูกสะดวกมากขึ้น และถือเป็นจุดเริ่มของโมเดลธุรกิจใหม่ 

สราวุธ นำโครงการแปลงผักอัจฉริยะเข้ารับคำแนะนำจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ซึ่งช่วงนั้นได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้สามารถฝ่าฟันโควิด-19 โดยส่งเสริมให้แต่ละกิจการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินธุรกิจ ในครั้งนี้ได้รับการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งง่ายต่อการใช้งาน ลดกำลังคนที่ใช้ในการดูแลแปลงผัก

“การพัฒนาดังกล่าว ถือเป็นจุดริเริ่มให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ และศักยภาพที่ได้รับการพัฒนาของพนักงาน จึงต่อยอดเป็นแบรนด์ Baansuan Smart Farm พร้อมการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบปลูกผักให้มีประสิทธิภาพ เพื่อศักยภาพในการวัดระดับความชื้นของดิน การให้น้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับการเติบโต และการจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลบิ๊กดาต้า ใช้สำหรับการวิเคราะห์สารอาหารในดิน และรูปแบบการเพาะปลูกที่เหมาะสมกับพื้นชนิดต่างๆ”

เบื้องต้นฟังก์ชั่นอัตโนมัติที่วางไว้คือ การวัดอุณหภูมิและค่าความชื้นในดิน เพราะสองฟังก์ชั่นนี้ถือเป็นแกนหลักของการเจริญเติบโตของพืช การทั้งการเปิด/ปิดระบบรดน้ำอัตโนมัติ เมื่อค่าความชื้นในดินต่ำกว่าที่กำหนด หรือเมื่อค่าความชื้นสูงถึงค่าที่กำหนดไว้ กล่องควบคุมเซ็นเซอร์ก็จะส่งสัญญาณให้กล่องควบคุมวาล์วสั่งทำการปิดการรดน้ำทันทีโดยอัตโนมัติ

เบื้องต้นกำลังทดสอบพืชแต่ละชนิดว่าใช้ความชื้นในอุณหภูมิเท่าไร จากนั้นระบบโปรแกรมจะทำการประมวลผลและสรุปออกมาเป็นรายงานผล รายวัน รายเดือน ซึ่งการบันทึกข้อมูลและการนำมาช่วยวิเคราะห์ และจะจัดเก็บข้อมูลสถานะทั้งหมด พร้อมกับส่งขึ้นคลาวด์ เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลบิ๊กดาต้า ช่วยให้วิเคราะห์ได้ว่าในแต่ละพื้นที่อุณหภูมิและความชื้นเท่าไร โดยผักที่ทำการทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นพืชผักที่นิยมรับประทาน ไม่ว่าจะเป็น ผักสลัด กรีนโอ๊ค กวางตุ้ง ข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน อีกทั้งอุตสาหกรรมการเกษตรอื่นๆ และภาครัฐได้ในอนาคต

ส่วนฟีเจอร์ถัดไปที่กำลังจะพัฒนาในอนาคต คือ เซ็นเซอร์วัดแร่ธาตุ (NPK Sensors) เพื่อให้พืชมีความสมบูรณ์ทุกมิติ และพัฒนาให้สามารถบันทึกภาพ (IP Camera) เชื่อมกับแอพพลิเคชั่นในไลน์เพื่อส่งภาพตามความต้องการภายใต้ 5 นาทีต่อ 1 ครั้ง เพื่อตรวจสอบการเติบโตของพืชได้ในทุกระยะ จึงถือเป็นกิมมิคอีกหนึ่งอย่างที่จะดึงดูดให้คนหันมาปลูกพืชมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงภาพรวมของตลาดสมาร์ทฟาร์ม สราวุธ บอกว่า ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ มีผู้ประกอบการหลายราย จึงต้องสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ ฉะนั้น ภาครัฐต้องสนับสนุนคนไทยให้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ 

เนื่องจากหลายๆ ธุรกิจต่างชาติเป็นเจ้าของ และคนไทยก็เป็นเพียงผู้ใช้แพลตฟอร์ม หากสนับสนุนคนไทยในการพัฒนาตรงจุดนี้ ในระยะยาวจะเติบโตได้อีกมาก เพราะความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นตามเทรนด์รักและใส่ใจสุขภาพ และการ “ปลูกผักกินเอง” ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ

ปัจจุบันระบบดังกล่าวมีต้นทุนการผลิตต่อชิ้นกว่า 2,000 บาท เมื่อพัฒนาเสร็จแล้วเข้าสู่กระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะจำหน่ายที่ราคาไม่เกิน 1,500 บาท และจุดคืนทุนคาดว่าจะอยู่ในระยะเวลา 1 ปี

"ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ถือเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินธุรกิจโดยเริ่มจากศูนย์ ดังนั้น การมองหาต้นทุนหรือวัตถุดิบที่เป็นองค์ความรู้ การใช้ช่วงเวลาดังกล่าวพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรเพื่อการแตกกอให้เป็นธุรกิจ ถือเป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ลดความสูญเสียจากการลงทุน และได้ค้นพบศักยภาพของทีมงาน ทั้งยังเป็นการพัฒนาคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อีกทางหนึ่ง” สราวุธ กล่าวทิ้งท้าย