เมื่อการเช่าบ้านไม่หมู จึงต้องถามกูรูอย่าง 'เรนท์สพรี'

เมื่อการเช่าบ้านไม่หมู จึงต้องถามกูรูอย่าง 'เรนท์สพรี'

เมื่อ “บ้าน”ไม่ใช่แค่พื้นที่สี่เหลี่ยมแต่คือคอมฟอร์ตโซนที่ดีที่สุด กระนั้นลำพังแค่การติดต่อเสาะหาบ้านก็ยากอยู่พอตัว หากจะต้องเจอกับปัญหาในการเช่าบ้านแต่ละที่นั่นคือ การกรอกเอกสาร และทุกครั้งต้องมีการรันเครดิตเช็ค ทำให้กระบวนการแต่ละครั้งจึงใช้เวลานาน

“RentSpree (เรนท์สพรี)” แพลตฟอร์มช่วยเหลือการเช่าบ้านแบบครบวงจร ก่อตั้งโดย “เอกบุตร สิริศุภางค์” และเพื่อนในขณะที่ศึกษาอยู่ที่สหรัฐ มุ่งแก้ปัญหาและเปลี่ยนแปลงระบบการเช่าบ้านให้รวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น โดยนำทุกขั้นตอนไปไว้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหมด

เรนท์สพรี ช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินการปล่อยเช่าหรือเช่าบ้านในสหรัฐอเมริกาให้ง่ายขึ้น โดยเปรียบเสมือนตัวกลางระหว่างผู้เช่า เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และนายหน้า ลดกระบวนการคัดกรอง ตรวจสอบและเช็คข้อมูลต่างๆ การประเมินค่าเช่า ที่นำมาใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจ จนถึงการทำสัญญาเช่า และการซื้อประกันการเช่าบ้านด้วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

‘ฮับ’ แห่งวงการเช่าบ้าน

เอกบุตร ซีโอโอ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เรนท์สพรี จำกัด กล่าวว่า “เรนท์สพรี” เวอร์ชั่นแรกได้เจาะจงไปที่ผู้ต้องการเช่าบ้าน โดยช่วยส่งเอกสารแบบฟอร์มการเช่าบ้านและการเช็คเครดิต ให้กระบวนการทุกอย่างเสร็จภายในระยะเวลาไม่กี่นาที แต่ทั้งนี้ในมุมของเจ้าของบ้านหากไม่รู้จักก็จะไม่เกิดการใช้งานและยอมรับในระบบ เนื่องจากผู้เช่าไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในกระบวนการสมัครเช่าบ้าน ทำให้ในระยะแรกเจอกับปัญหาตรงจุดนี้

เขาและทีมงานจึงมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแผนการตลาดใหม่ทั้งหมด โดยการหันไปเจาะกลุ่มนายหน้าแทนรายบุคคล นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนของเรนท์สพรีจากบิซิเนสโมเดล B2C สู่ B2B2C คือการพาร์ทเนอร์กับสมาคมต่างๆ โดยในสหรัฐจะมีสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ส่วนใหญ่จะมีระบบ Multiple Listing Service หรือ MLS ที่ใช้ตรวจสอบและอัพเดทข้อมูล ทำให้การคัดกรองทางการเงินเป็นไปได้โดยง่าย และเกิดการช่วยโปรโมทเครื่องมือของเรนท์สพรีให้กับเมมเบอร์ขององค์กรอีกทางหนึ่ง

ปัจจุบันเรนท์สพรีมีอัตราการเติบโตมากกว่า 2-3 เท่าทุกปี และถือเป็นสตาร์ทอัพด้านอสังหาที่มาแรงในสหรัฐ มีผู้ใช้บริการมากกว่า 6 แสนราย ทั้งช่วยเหลือเจ้าของบ้านและเอเย่นต์ไปกว่า 1 แสนราย ผ่านการทำธุรกรรมการเช่าบ้านกว่า 5 แสนรายการ โดยได้ขยายไปยังรัฐต่างๆ เช่น เท็กซัส ฟลอริดา จอร์เจีย จากเดิมที่ให้บริการเฉพาะในแคลิฟอร์เนียเท่านั้น 

“แม้ว่าเรนท์สพรีจะเป็นที่นิยมใช้ในตลาดอเมริกา แต่กลับมีทีมพัฒนาทั้งหมดอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของคนไทยในการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศได้อย่างตรงจุด”

ปั้นซิลิคอนวัลเลย์ขนาดย่อม

ปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันให้เรนท์สพรีประสบความสำเร็จ คือ 1.ทีมพัฒนาที่เป็นคนไทยที่มีความเชี่ยวชาญสูง โดยแบ่งออกเป็น 2 ทีมหลักๆ คือ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักออกแบบผลิตภัณฑ์ 2.ความเชื่อมั่นในตัวทีมและให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมในองค์กร 3.ในส่วนของกระบวนการทำงานเป็นการย้อนรอยจากสตาร์ทอัพที่สหรัฐ

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเติบโตในสายงานของพนักงาน โดยนำระบบเลเวลเข้ามาใช้กับทุกตำแหน่ง อีกทั้งมีงบเทรนนิ่งให้กับพนักงานทุกคน การให้อิสระในการทำงานและจัดการสิ่งที่ได้รับมอบหมายด้วยตนเอง ทำให้กล้าตัดสินใจ กล้าลองผิดลองถูก สิ่งเหล่านี้ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และทำให้แต่ละคนมี Ownership กับงานมากขึ้นเรียกได้ว่าเป็นซิลิคอนวัลเลย์ขนาดย่อมนั่นเอง

สำหรับความท้าทาย เอกบุตร ชี้ว่า ย้อนไปช่วงแรกของธุรกิจ คือเรื่องของการหาคนมาร่วมทีม อีกทั้งในขณะที่เป็นเทคสตาร์ทอัพมือใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ จึงต้องหาข้อมูลจากหนังสือและทดลองทำทุกอย่างเองทั้งหมด และเมื่อระดมทุนจึงยากที่จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุน เพราะไม่มีประวัติความสำเร็จ จนต้องใช้ความพยายามกว่า 4 ปี จึงจะสามารถระดมทุนก้อนแรกได้เมื่อปลายปี 2563 ในรอบ Seed Fund เป็นมูลค่า 2.3 ล้านดอลลาร์

“สิ่งที่ทำให้เรนท์สพรีเป็นที่สนใจของนักลงทุน คือ การที่บริษัทมีข้อมูลที่บันทึกไว้ตลอดว่าบริษัทเติบโตได้ 2-4 เท่าต่อปี ทำให้นักลงทุนเกิดความสนใจ บวกกับบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง อีกทั้งเป้าหมายของบริษัทเป็นไปได้จริง และบิซิเนสโมเดลมีความยั่งยืน ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนกับเรนท์สพรีน้อยกว่าการลงทุนอื่นๆ”

ขณะที่ภาพรวมการแข่งขันของตลาด Prop-Tech Startup ในสหรัฐมีผู้เล่นจำนวนมาก หลายส่วนเป็นองค์กรใหญ่ที่พัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับอพาร์ตเมนต์หรืออาคารขนาด 500 ยูนิตขึ้นไป ตลาดจึงเป็น Red Ocean การแข่งขันสูง ส่วนตลาดที่เป็นเจ้าของบ้านรายย่อย 1-5 ยูนิตยังไม่ค่อยมีผู้เล่นมากนัก แต่เรนท์สพรียังสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนาระบบให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เร่งขยายทีมรองรับเต็มสูบ

เอกบุตร กล่าวต่อไปว่า ภาพรวมตลาดและการเติบโตของอุตสาหกรรมอสังหาฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้เช่าเพิ่มขึ้น ราคาบ้านสูงขึ้น และคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะย้ายงานไปต่างรัฐมากขึ้น จึงไม่อยากซื้อบ้านแต่ต้องการเช่าแทน ตลาดจึงกลายเป็นของผู้เช่า

ส่วนแผนการดำเนินงานในอนาคต ในแง่การตลาดมีแพลนที่จะเจาะตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ด้วยความที่เซอร์วิสของเรนท์สพรียังเป็นแค่ 1 ใน 10 อย่างที่เกี่ยวกับการเช่าบ้าน จึงวางแผนดำเนินการส่วนที่เหลือให้ครบวงจรในส่วนของการเช่าบ้านทั้งหมด อาทิ การชำระเงินค่าเช่า การซ่อมแซมบ้าน รวมทั้งเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างผู้เช่าและนายหน้า

หลังจากที่สามารถคว้าเงินทุน รอบ Series A มูลค่ากว่า 8 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 250 ล้านบาทไปหมาดๆ กลยุทธ์หลังจากนี้ตั้งเป้าที่จะต่อยอดธุรกิจผ่านการขยายทีมพัฒนาคนไทยเพิ่มขึ้น 3 เท่า จากเดิม 55 คน เป็น 300 คนภายในปี 2565 พร้อมทั้งในส่วนของรายได้ตั้งเป้าที่จะแตะ 1 พันล้านบาทภายในสิ้นปีหน้าเช่นกัน