"4 สตาร์ทอัพสายอารีเทค” กับการปฏิวัติโลกอุตสาหกรรมใหม่

"4 สตาร์ทอัพสายอารีเทค” กับการปฏิวัติโลกอุตสาหกรรมใหม่

“โลกอุตสาหกรรม” ผ่านการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบันที่เทคโนโลยี นวัตกรรม และระบบดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทุกอย่าง ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวให้เข้าถึงเครื่องมือและแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และโลกเสมือนจริง หรือ อารีเทค

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จึงชวนไปรู้จักกับ 4 สตาร์ทอัพด้านอารีเทค (ARItech) น้องใหม่ที่จะช่วยยกระดับและเปิดประสบการณ์การทำงานโลกอุตสาหกรรม โดยสตาร์ทอัพทั้ง 4 รายได้เตรียมพร้อมลงสนามจริงเพื่อทดลองใช้เทคโนโลยีร่วมกับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC และถือเป็นการเปิดประตูให้ผู้สนใจหรือพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวได้มีโอกาสร่วมยกระดับภาคส่วนทางอุตสาหกรรมในอนาคตได้ต่อไปอีกด้วย 

นำร่องด้วย ระบบปัญญาประดิษฐ์สุดแม่นยำเพื่อตรวจซ่อม และบำรุงเครื่องจักรในโรงงาน “Verily Vision” ผู้ให้บริการระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อการดูแลรักษาระบบในภาคอุตสาหกรรม 


ปิยะวัฒน์ แสงประเสริฐกฤต ผู้บริหารฝ่ายการตลาด และผู้ก่อตั้ง บริษัท เวริลี วิชั่น จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีที่บริษัทนำมาใช้ในกระบวนการบริหารจัดการสำหรับภาคอุตสาหกรรมนี้ เป็นระบบ AI เพื่อใช้สำหรับการตรวจซ่อมบำรุง ดูแลรักษา ตรวจสอบสถานะของเครื่องจักรภายในโรงงาน เพื่อลดปัญหาการใช้แรงงานคน และลดความผิดพลาดในกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะการตรวจสอบระบบต่าง ๆ ที่ปกติจะต้องให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ 100% และจะต้องทำการตรวจสอบทุก 4 ชั่วโมง พร้อมทั้งจดบันทึกรายละเอียด ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนของข้อมูล

ดังนั้น บริษัทจึงต้องการนำระบบเข้ามาแก้ไขปัญหาให้แก่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานที่มีการผลิต กลุ่มโลจิสติกส์ คลังสินค้า ท่าเรือ ที่จำเป็นจะต้องตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและแม่นยำอยู่ตลอดเวลา 
    

นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ระบบจะเน้นการใช้เทคโนโลยี AI เป็นหลักในการตรวจสอบและบันทึกข้อมูล ในรูปแบบอัตโนมัติผ่านระบบกล้อง CCTV และระบบแว่นตา Smart Glasses ซึ่งเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่มีการจับภาพและตรวจสอบสถานะของเครื่องจักรด้วย AI เพียงแค่สวมใส่แว่นตาและมองไปยังเครื่องจักรที่ต้องการก็จะสามารถเก็บข้อมูลความผิดพลาดด้านต่าง ๆ ได้ เช่น การวัดค่าความดัน ไฟฟ้า อุณภูมิของเครื่องจักร ตรวจสอบความเสียหายของเครื่องจักร หลังจากจบขั้นตอนการตรวจสอบและเก็บข้อมูล จะมีการบันทึกข้อมูลไว้ในระบบฐานข้อมูล เพื่อให้โรงงานอุตสาหกรรมสามารถดึงข้อมูลกลับมาใช้การซ่อมบำรุงได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ บริษัทยังจัดทำบริการระบบการตรวจจับทะเบียนรถขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นระบบการตรวจจับข้อมูลผ่านกล้องถ่ายภาพอัตโนมัติโดยการอ่านข้อมูลภาพถ่ายด้วยระบบ AI หลังจากนั้นจะมีการแปลงภาพเป็นข้อมูล และเก็บบันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ง่ายต่อตรวจความถูกต้องของสินค้าภายในตู้คอนเทนเนอร์ ระยะเวลาในการขนส่งสินค้า จำนวนรอบวิ่งของรถบรรทุก โดยระบบดังกล่าวจะเข้ามาแก้ปัญหาการใช้แรงงานคนในการจดรายละเอียด ข้อมูลในระบบคลังสินค้าและท่าเรือ

จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีทั้ง 2 รูปแบบที่บริษัทให้บริการอยู่นั้นสามารถช่วยสร้างศักยภาพในกระบวนการทำงาน และการตรวจสอบให้แก่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดอัตราการใช้แรงงานคนและสามารถจัดสรรแรงงานให้ไปทำงานอื่นที่จำเป็นได้มากกว่าด้วย และจากการเข้าร่วมโครงการ NIA Deep Tech incubation Program @ EEC ของ NIA ทำให้ขณะนี้เทคโนโลยีของบริษัทได้ถูกนำไปใช้ในกระบวนการดูแลเครื่องจักรบริษัทในกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อีกด้วย
 

ต่อมา คือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ “Movemax” นายวิชาญ ชัยจำรัส กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท แฮนด์ดี้วิง จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารงานขนส่งและกระจายสินค้า “Movemax” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนด้าน โลจิสติกส์ด้วย AI กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงใช้ระบบการทำงานแบบเก่าที่ยึดติดกับเอกสารและการบริหารงานที่ต้องพึ่งพิงพนักงานในทุกขั้นตอน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับต้นทุนจ้างพนักงานที่ค่อนข้างสูง รวมถึงต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงเกินความจำเป็นจากการวางแผนงานขนส่งที่ซับซ้อนด้วยคน

ดังนั้น MoveMax จึงมุ่งมั่นพัฒนา AI เพื่อมาคิดและทำงานแทนคน โดยเฉพาะงานวางแผนขนส่งที่มีความซับซ้อนสูง และยังมีซอฟต์แวร์สนับสนุนด้านโลจิสติกส์อื่นอีกมากที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ครบวงจรและสามารถช่วยให้การบริหารงานของผู้ประกอบการมีคล่องตัว รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ถัดไป คือ แพลตฟอร์มไอโอทีสำหรับมอนิเตอร์เครื่องจักรรายงานผลทุก 1 นาที “ไอฟราซอฟต์”
นายณัฐพล รักธง ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไอฟราซอฟต์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม IoT สำหรับเก็บข้อมูลจากเครื่องจักรและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักร เล่าว่า
จากปัญหาการดูแลเครื่องจักรภายในโรงงานของวิศวกรที่จะต้องมีการมอนิเตอร์และจดบันทึกการทำงานของเครื่องจักรด้วยตัวเองลงในโปรแกรม Excel หรือบางกรณีต้องสรุปเป็นรายงาน ซึ่งบางครั้งทำให้การจัดการเป็นไปค่อนข้างลำบาก พร้อมทั้งต้องคอยบริหารจัดการให้เครื่องจักรทำได้เต็มประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น จึงได้มีการคิดค้นแพลตฟอร์ม IoT สำหรับแก้ปัญหาและเก็บข้อมูลรอบการทำงาน และปัญหาที่ขัดข้องระหว่างการทำงานของเครื่องจักร โดยระบบจะบันทึกข้อมูลทุก 1 นาที ซึ่งการนำระบบ IoT เข้ามาใช้ในกระบวนการทำของเครื่องจักรนั้นจะช่วยให้เกิดความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือวิศวกรสามารถนำข้อมูลไปแก้ไขข้อบกพร่อง จุดอ่อน และพัฒนาศักยภาพของเครื่องจักรให้ทำงานได้เต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น 

และสุดท้าย หุ่นยนต์ลดปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถในการขับรถฟอร์คลิฟ “พลาย”
นางสาววรีมน ปุรผาติ กรรมการบริษัท เจ็นเซิร์ฟ จำกัด ผู้ผลิตหุ่นยนต์ขับรถฟอร์คลิฟยกพาเลทด้วยระบบเลเซอร์ กล่าวว่า “เจ็นเซิฟ”
ได้คิดค้นเทคโนโลยีหุ่นยนต์ขนส่งและรถฟอร์คลิฟท์ไร้คนขับที่นำทางด้วยระบบเลเซอร์ ซึ่งสามารทำงานได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง จึงช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพราะแรงงานที่จะเข้ามาขับรถฟอร์คลิฟได้นั้นจะต้องมีใบอนุญาต และต้องมีความชำนาญค่อนข้างสูง ส่งผลให้ปัจจุบันภาอุตสาหกรรมขาดแรงงานในด้านดังกล่าวพอสมควร

หุ่นยนต์ “พลาย” มีจุดเด่นที่เหนือกว่าหุ่นยนต์ขนส่งแบบเดิมที่ขับเคลื่อนตามแถบแม่เหล็ก เพราะมีความยืดหยุ่นในการทำงาน สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางในอนาคตได้โดยไม่ต้องลงทุนเปลี่ยนแถบแม่เหล็ก และสามารถยกของขึ้นชั้นสูงได้ ทำให้เหมาะกับการทำงานทั้งในไลน์การผลิต และคลังสินค้าได้อย่างดี