"ลองกิ" ผนึก "ดีเอ็นวีฯ" เผยรายงานเปรียบเทียบความสมดุลต้นทุนระบบ
"ลองกิ" บริษัทเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของโลก ผสาน "ดีเอ็นวี" ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านการรับประกันและการจัดการความเสี่ยง เปรียบเทียบความสมดุลของต้นทุนระบบระหว่างโมดูลที่ใช้เวเฟอร์ขนาด 182 มม. และ 210 มม. ในโครงการขนาด 3.7 เมกะวัตต์ในรูปแบบต่างๆ 3 รูปแบบ
จากการที่ "ลองกิ" องค์กรด้านเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของโลก มีความมุ่งมั่นในระยะยาว และไม่หยุดยั้งต่อเทคโนโลยีโมโนคริสตัลไลน์ โดยเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าการนำไปใช้โดยทั่วไปจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ทั้งหมดได้
จึงได้ผนึกกำลังดีเอ็นวี (DNV) เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย BOS (Cost of Balance of System) สำหรับโมดูล 500W+ สามประเภทที่มีแร็คแบบตายตัว (2P, 4L) และตัวติดตาม (1P) โดยผลการวิจัยพบว่า ภายใต้เงื่อนไขขอบเขตที่ยุติธรรมและใช้งานได้จริงของกำลังของโมดูล อัตราส่วนความจุ ความยาวชั้นวาง การเลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายในการติดตั้งด้วยตนเอง การใช้โมดูลขนาดใหญ่ที่มีกระแสไฟสูงพิเศษไม่ได้แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบใน BOS ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าโมดูล 182-72c เนื่องจากประสิทธิภาพของโมดูลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของต้นทุน BOS
ปัจจุบัน "ลองกิโซลาร์" เป็นผู้ผลิตโมดูลรายใหญ่ที่สุดในโลกตามกำลังการผลิต และเป็นผู้สนับสนุนหลักของรูปแบบเวเฟอร์ขนาดเล็ก 182 มม. โมดูลทั้งหมดในการเปรียบเทียบใช้เทคโนโลยี half-cut cell และ MBB ตารางต่อไปนี้แสดงระดับพลังงาน ขนาด และคุณลักษณะอื่นๆ ของโมดูลในการเปรียบเทียบ
โดยที่โมดูลได้รับการทดสอบทั้งบนตัวติดตามแกนเดียว แกนเอียงคงที่สองแกนในแนวตั้ง และระบบดึงสี่แกนในแนวนอน DNV จัดทำการคำนวณต้นทุนสำหรับแต่ละรายการโดยอิงจากประสบการณ์ของตนเอง ตลอดจนราคาจากซัพพลายเออร์อุปกรณ์ การวิจัยในอุตสาหกรรม และการประเมิน 'ต้นทุนทั่วไป' สำหรับพารามิเตอร์เฉพาะ ที่จัดหาโดยบริษัทวิจัยตลาด Wood Mackenzie
ทั้งนี้ลองกิมีฐานการผลิต 15 แห่งและสาขามากกว่า 30 แห่งทั่วโลก ลองกิได้ผลิตโซลาร์โมโนคริสตัลไลน์เวเฟอร์แบบซิลิคอนและโมดูล พร้อมส่งมอบโซลูชันสำหรับระบบสถานีไฟฟ้าแบบกระจายตัวและติดตั้งบนพื้นดิน อีกทั้งยังส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ทั่วโลกและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน ลองกิได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์เป็นอันดับสูงสุดในอุตสาหกรรมเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน และในปี 2563 บริษัทได้กลายเป็นผู้ผลิตรายแรกที่จัดส่งโมดูลมากกว่า 20 จิกะวัตต์ (GW) ในหนึ่งปี
ในขณะที่การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาที่สูงอย่างต่อเนื่องของลองกิ เป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จและบริษัทได้นำเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ ๆ มาใช้กับการผลิตขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่สำคัญในการควบคุมต้นทุนและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งในปี 2563 ลองกิ กลายเป็นบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของจีนที่เข้าร่วมโครงการ RE100, EV100 และ EP100 ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่มีคาร์บอนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน