‘นูทานิคซ์’ ถอดบทเรียน คลาวด์ รับมือความไม่แน่นอนโลกธุรกิจ

‘นูทานิคซ์’ ถอดบทเรียน คลาวด์ รับมือความไม่แน่นอนโลกธุรกิจ

องค์กรที่ใช้แนวทางการทำงานที่คล่องตัว มักมีทางเลือกที่มากกว่าในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ทำให้แผนงานที่วางไว้เป็นไปตามเป้าหมาย

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ เปิดมุมมองว่า การทำงานแบบไฮบริดหรือแบบผสมผสานเป็นเรื่องที่ทุกคนพูดถึงในยุคนิวนอร์มอลนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีนัยเชิงลึกมากขึ้น ลึกลงไปถึงแนวทางที่องค์กรวางกลยุทธ์และวางแผนอนาคตเลยทีเดียว

ที่ผ่านมา ขั้นตอนในการวางแผนองค์กรไม่ใช่เรื่องง่าย และการระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้ยากขึ้นไปอีก ทั้งทำให้ได้รู้ว่าขีดจำกัดอยู่ตรงไหน อย่างไร แม้ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันก็เป็นที่แน่นอนว่ามีแต่ความไม่แน่นอนแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

'ความยืดหยุ่น' สำคัญสุด

เขากล่าวว่า การสร้างความยืดหยุ่นในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ที่ต้องพิจารณา และเป็นส่วนหนึ่งของการยอมรับว่าแผนธุรกิจสามปีถึงห้าปีที่ตั้งไว้สำหรับองค์กรหลายแห่งไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ดังนั้นแทนที่จะดำเนินการตามโรดแมปที่วางไว้แบบตายตัว ผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ว่าแผนงานต่างๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะถูกดิสรัปหรือประสบปัญหาอุปสรรคได้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการและสร้างกระบวนการให้มีความยืดหยุ่น

ในบริบทนี้ ไม่มีคำแนะนำใดที่ดูเหมือนจะเหมาะสมไปกว่าสิ่งที่บรู๊ซ ลี นักศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ว่า "จงเป็นดั่งสายน้ำ" นั่นคือแนวทางการทำงานที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ช่วยให้ธุรกิจเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลง และข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้

โดยไม่ใช่หมายถึงการไหลลอยไปเรื่อยๆ แต่เป็นการเคลื่อนไหวอย่างคล่องตัวด้วยวิธีการง่ายๆ ไปยังจุดหมายต่างๆ ตามสถานการณ์ ซึ่งเป็นการช่วยกำหนดการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปด้วย

เดินหน้าสู่เส้นทาง 'คลาวด์'

อย่างไรก็ดี การแก้ไขความท้าทายต่างๆ ด้วยวิธีการเดียวอาจทำให้องค์กรอยู่ในสภาพเปราะบาง เช่นเดียวกับการถูกล็อคไว้กับเทคโนโลยีโซลูชั่นเดียว ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดจาก "การเดินสู่เส้นทางการใช้คลาวด์"

ทว่าคลาวด์ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในการโยกย้ายสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจไปทำงานบนนั้น แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การดำเนินงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 

ปัจจุบัน ธุรกิจต่างตระหนักถึงคุณค่าของการใช้คลาวด์ให้ตรงตามความต้องการของตนมากขึ้น เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับกระบวนการทำงาน 

ธุรกิจบางแห่งในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ต่างปรับปรุงให้ศูนย์ข้อมูลของตนทันสมัย เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพด้านความคล่องตัวของคลาวด์มาใช้กับแอพพลิเคชั่นที่ทำงานอยู่บนระบบไอทีที่ติดตั้งภายในองค์กร หรือบนไพรเวทคลาวด์ ให้ทำงานได้แบบอัตโนมัติ 

ขณะที่ธุรกิจบางแห่งให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการเคลื่อนย้ายกระบวนการทำงานต่างๆ ไปทำงานบนไฮบริด มัลติคลาวด์ ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ทำงานได้ทั้งบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์

ขจัดคอขวด เพิ่มประสิทธิภาพ

ทวิพงศ์กล่าวว่า บริการไฮบริด มัลติคลาวด์ และเอดจ์ ที่รวมพับลิคและไพรเวทคลาวด์เป็นหนึ่งเดียวกับระบบที่ติดตั้งอยู่ภายในองค์กร กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ให้บริการหลายราย

รายงานของนูทานิคซ์ล่าสุดพบว่า 86% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที มองว่าไฮบริด มัลติคลาวด์เป็นรูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสมกับองค์กรของตน

ไอดีซี ระบุว่าตลาดไฮบริดคลาวด์จะขยายตัวเกือบถึงระดับ 98,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2566 และภายในปี 2565 องค์กร 75% ต่างคาดหมายว่าจะย้ายการทำงานไปยังระบบที่มีการบริหารจัดการคลาวด์แบบรวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว

"ในเวลาที่มีแต่ความไม่แน่นอน โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่สามารถช่วยให้องค์กรปรับขนาดการทำงาน และสามารถเลือกแพลตฟอร์มได้อย่างเฉพาะเจาะจง ตามสภาพแวดล้อมที่องค์กรกำลังเผชิญอยู่ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างการไม่สามารถจัดการใดๆ ได้ กับความสามารถในการปรับเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัวย่อมเป็นทางเลือกที่ช่วยเปิดทางรวดได้ดีกว่า"

เขากล่าวว่า ปัจจัยหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบไอที คือการขจัดคอขวดต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างลื่นไหล หากองค์กรสามารถแก้ความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีได้ด้วยวิธีการที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่าใช้จ่ายได้มากกว่า องค์กรเหล่านี้ก็จะสามารถรับมือกับความท้าทายอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความลื่นไหล ยืดหยุ่น เป็นที่มาของความแข็งแกร่งและความอยู่รอดในโลกธุรกิจ ไอทีเองก็ไม่แตกต่างกัน