ซื้อไหม? อะไรใหม่ใน “GoPro HERO11 Black” ที่รุ่นเก่าไม่มี
รู้ก่อนตัดสินใจซื้อ มีอะไรใหม่ใน "GoPro HERO11 Black" ทั้งสามรุ่นที่เพิ่งเปิดตัว คุ้มหรือยังที่จะเปลี่ยนจากรุ่นเก่ามาเอารุ่นนี้
ถึงจะเป็นกล้อง Action Cam ที่ถึกทน แต่ทุกครั้งที่ GoPro เปิดตัวรุ่นใหม่ สาวกสายลุยก็หัวใจเต้นแรงทุกครั้ง คราวนี้มาถึงคิวของ GoPro HERO11 Black ที่ถ้าดูด้วยตาเปล่า ถ้าไม่นับตัวหนังสือระบุเลขรุ่นที่เปลี่ยนไป บอดี้ก็ยังเหมือนเดิม แล้วอะไรบ้างที่เปลี่ยน อะไรที่ยังเหมือนเดิมแต่มีเหตุผลที่ต้องเหมือนเดิม
"GoPro HERO11 Black" ที่เปิดตัวใหม่นี้ มีอยู่ 3 รุ่น ได้แก่ HERO11 Black, HERO11 Black Creator Edition และ HERO11 Black Mini ทั้งสามรุ่นมีจุดเด่นด้านการใช้งานแตกต่างกัน แต่โดยรวมจะมีสเป็กและฟีเจอร์ที่อัพเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อนอยู่พอสมควร
ก่อนอื่น มาทำความรู้จัก "GoPro" ใหม่ ทั้งสามรุ่นก่อน
HERO11 Black – กล้อง Action Cam ที่ใช้งานได้หลากหลายมากที่สุด ทรงพลังและสะดวกกว่าเดิม ด้วยดีไซน์กล้อง HERO ตลอดจนความทนทานและประสิทธิภาพที่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานอันเป็นเอกลักษณ์ของ GoPro มาแล้ว ทำให้ HERO11 Black เป็นกล้องที่ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นเลือก สำหรับการเก็บภาพที่สมจริง
HERO11 Black Creator Edition - กล้องแอคชั่นแคมที่มาครบจบในตัวเดียวเหมาะสำหรับคอนเทนท์ครีเอเตอร์ ด้วยดีไซน์น้ำหนักเบาพิเศษ ขนาดพอดีฝ่ามือ ทำให้การถ่ายวิดีโอบล็อก ภาพยนตร์ ตลอดจนการไลฟ์สตรีมเป็นเรื่องง่าย มาพร้อมฟีเจอร์ทั้งหมดของ HERO11 Black แบตเตอรี่กริปใช้งานได้ยาวนาน ไมโครโฟนแบบออมนิไดเรคชั่นนอล ช่องอินพุตไมโครโฟนภายนอก พอร์ต HDMI สำหรับเชื่อมต่อกับจอแสดงผลภายนอก ไฟ LED กำลังสูง และฐานติดตั้งแบบ Cold Shoe สองตัวสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม
HERO11 Black Mini – กล้อง Action Cam ในเวอร์ชั่นที่เล็กกว่า เบากว่า ใช้งานได้ง่ายและลุยได้มากกว่า มาพร้อมฟีเจอร์ทั้งหมดของรุ่นใหญ่ ขนาดตัวกล้องที่เล็กกว่าและดีไซน์ที่เรียบง่ายแค่ปุ่มเดียว ทำให้ HERO11 Black Mini เป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่ต้องการการใช้งานไม่ยุ่งยาก โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของการทำงานหรือคุณภาพ
เซ็นเซอร์ใหญ่และทรงพลังกว่าเดิม
จุดเปลี่ยนใหญ่ใน GoPro รุ่นใหม่ นี้คือเซ็นเซอร์ขนาดใหม่และใหญ่ขึ้น 1/1.9” ทำให้ HERO11 Black และ HERO11 Black Mini ประมวลผลและแสดงสีได้มากกว่า 1 พันล้านสี ในวิดีโอสี 10 บิต ที่ความละเอียดสูงสุด 5.3K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ในขณะที่ "HERO11 Black" ถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 27 เมกะพิกเซล ให้ภาพสมจริงยิ่งกว่าเดิม ด้วยเซ็นเซอร์ใหม่นี้ทำให้จับสีได้มากขึ้นกว่า 64 เท่าในวิดีโอสี 10 บิต จาก 16.7 ล้านสีในวิดีโอสี 8 บิต นับเป็นการก้าวกระโดดด้านคุณภาพของภาพ เมื่อเทียบกับกล้อง GoPro รุ่นก่อน หมายความว่าเซ็นเซอร์ใหญ่และดีขึ้นทำให้วิดีโอสีสวยขึ้นด้วย
และไม่ใช่แค่ใหญ่ แต่ GoPro ใช้คำว่า “สูงขึ้น” คือ เซ็นเซอร์นี้ช่วยให้ถ่ายวิดีโออัตราส่วนภาพ 8:7เป็นมุมมองแนวตั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในGoPro ภาพที่ได้ไม่ใช่แนวตั้งเสียทีเดียว แต่เพิ่มพื้นที่ภาพส่วนที่จะนำไปครอปเป็นแนวตั้งได้มากกว่าเดิม เหมาะกับการใช้งานที่กำลังนิยมในปัจจุบันทั้งการถ่ายช็อตแนวตั้งสูงพิเศษ 9:16 สำหรับ Instagram และ TikTok หรือช็อตภาพยนตร์ 16:9 สำหรับ YouTube หรือหน้าจอขนาดใหญ่ แล้วยังซูมเข้าในส่วนที่ดีที่สุดของวิดีโอของคุณ สร้างภาพโคลสอัพความละเอียดสูงได้อีกด้วย
เลนส์ HyperView มุมมองกว้างกว่าเดิม
ผลพวงจากเซ็นเซอร์ใหม่ใน "GoPro HERO11 Black" ซีรีส์นี้ ทำให้มี HyperView มุมมองภาพ 16:9 ซึ่งกว้างที่สุดแล้วตั้งแต่มีใน "GoPro" สร้างสรรค์มุมมองการถ่ายทำในกิจกรรมที่ต้องการภาพลักษณะ POV เช่น เล่นเซิร์ฟ, ขี่จักรยาน, ขี่มอเตอร์ไซค์, เล่นสกี ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมี เลนส์ SuperView เอกลักษณ์ของ GoPro ถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 5.3K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที และ 4K ที่ 120 เฟรมต่อวินาที แม้จะยังไม่ไปที่ 8K สักที แต่ความละเอียดสูงสุดที่ 5.3K ก็ยังมากพอที่จะให้คุณภาพของวิดีโอระดับสูงได้ ทว่าถ้าต้องการทำ Slow motion ที่ค่อนข้างลื่นไหลสบายตา คงต้องปรับไปที่ 4K เพราะจะได้ 120 เฟรมต่อวินาทีนั่นเอง
กันสั่นยอดเยี่ยมกว่าเดิม
"GoPro" ขึ้นชื่อเรื่องกันสั่นอยู่แล้ว และใน "HERO11 Black" ยังอัพเกรดความสามารถด้านกันสั่นให้เหนือกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี HyperSmooth 5.0 แตกต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดว่าวิดีโอที่ได้เมื่อเปิดโหมด HyperSmooth 5.0 จะนิ่งสุดๆ
และเมื่อเปิดโหมด Horizon Lock ที่จะช่วยรักษาความตรงของเส้นขอบฟ้า แต่จากข้อมูลคือได้ผลลัพธ์ที่เหนือชั้นมากคือถึงแม้จะกลับกล้อง ถือเอียงมากแค่ไหน แทบจะไม่เห็นความเอียงที่เกิดขึ้น คือเทคโนโลยีนี้ GoPro พัฒนามาจนเข้าขั้นสุดยอดแล้ว
แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม
แบตเตอรี่ที่มากับ "GoPro HERO11 Black" จะมีแถบสีขาว ซึ่งในรุ่นก่อนๆ จะเป็นแถบสีฟ้าเหมือนกับสีของโลโก้และฟ้อนด์ต่างๆ บนตัวเครื่อง ซึ่งไอ้เจ้าแบตเตอรี่แถบขาวนี้มีชื่อเรียกว่า Longer-lasting Enduro battery มีคุณสมบัติคือทนสภาพอากาศสุดขั้วได้ทั้งร้อนจัดและเย็นจัด เพราะโดยปกติแล้วอากาศเย็นมากๆ จะมีผลให้แบตเตอรี่หมดไวขึ้น
ตามข้อมูล Enduro battery ยืดเวลาถ่ายวิดีโอของ "HERO11 Black" สูงสุดถึง 38 เปอร์เซ็นต์ โดยใส่มาพร้อมในกล่องของ HERO11 Black และ HERO11 Black Creator Edition และติดตั้งมาในตัวของ HERO11 Black Mini เพราะก่อนหน้านี้ถ้าอยากได้แบตเตอรี่แถบขาวจอมอึดต้องซื้อแยก
เพิ่มโหมดเก๋ๆ มากกว่าเดิม
นอกจากการใช้งานในกิจกรรมผจญภัยและกีฬาต่างๆ "GoPro HERO11 Black" ยังทำหน้าที่กล้องวิดีโอถ่ายสถานกาณ์อื่นๆ ได้หลากหลายกว่าเดิม เช่นการที่เพิ่มโหมดต่างๆ เข้ามา อาทิ โหมด Night Effect Time Lapse ใหม่ 3 โหมด ถ่ายวิดีโอ Star Trails, Light Painting, และ Vehicle Light Trails ใช้งานง่ายเพียงแค่เลือก Preset ใน Night mode
หรืออย่างโหมด TimeWarp 3.0 ที่ความละเอียด 5.3K ให้ถ่ายวิดีโอความละเอียดชัดขึ้นแบบก้าวกระโดด 91 เปอร์เซ็นต์ จาก 4K หรือ 665 เปอร์เซ็นต์ จาก 1080p และโหมด Easy ช่วยให้ควบคุมกล้องง่ายขึ้นด้วยการตั้งค่าที่เหมาะกับทุกสถานการณ์ และโหมด Pro ปลดล็อกทุกฟีเจอร์ของกล้อง HERO11 สำหรับการถ่ายวิดีโอได้มีประสิทธิภาพที่สุด
จุดไม่เปลี่ยน แต่มีเหตุผล
บอดี้ของ "GoPro HERO11 Black" ยังเหมือนกับ GoPro HERO10 Black ซึ่งถ้าคาดการณ์นี่น่าจะเป็นช่วงท้ายๆ แล้วของบอดี้โฉมนี้ ถ้าหากอ้างอิงตามการเปลี่ยนโฉมในประมาณทุกๆ 3 เจเนอเรชัน
การไม่เปลี่ยนแปลงบอดี้มีข้อดีคือยังใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ ของรุ่นก่อนได้ โดยเฉพาะ Media Mod ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่มีราคาแพง ถ้าหากต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านี้ในทุกรุ่นๆ ก็นับว่าฟุ่มเฟือยน่าดู
สำหรับราคาของ GoPro รุ่นใหม่ซีรีส์นี้มีดังนี้ HERO11 Black ราคา 18,500 บาท HERO11 Black Creator Edition ราคา 26,000 บาท
สำหรับ HERO11 Black Mini จะวางจำหน่ายในวันที่ 25 ตุลาคม 2565 ในราคา 15,000 บาท
